เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ไม่ง้อทัวร์ แบ็คแพ็คแบบครอบครัว ช่วงปิดเทอม

Home / นักเที่ยวเชี่ยวทาง / เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ไม่ง้อทัวร์ แบ็คแพ็คแบบครอบครัว ช่วงปิดเทอม

สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว MThai Travel ทุกท่าน เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2557 ที่ผ่าน เป็นช่วงเวลาที่เป็นวันหยุด ปิดเทอมของนักเรียน และ วันที่ 23 ตุลาคม ก็เป็นวันหยุดราชการด้วย 1 วัน ก็เลยวางแผนกับครอบครัว ว่าจะไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าจะไปกับทัวร์ แต่ก็ติดตรงราคาค่อนข้างแพง และเราไม่สามารถเที่ยวอย่างที่เราต้องการได้ อีกอย่าง ประจวบเหมาะกับ Thai AirAsia X มีโปรโมชั่น 5,555 บาท และ เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า คนไทยไปญี่ปุ่น ไม่ต้องทำวีซ่าแล้ว (ช่างประจวบเหมาะกันจริงๆ) ก็เลยตัดสินใจว่า เราจะไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน โดยไปกันเอง ไม่ต้องพึ่งทัวร์ แต่ก็หวั่นๆ อยู่เหมือนกันว่า จะไปกันได้ไหม เพราะได้ยินมาว่า เที่ยวญี่ปุ่นยากมาก สาเหตุหลายๆ อย่างเช่น คนญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ ไม่ใช้ภาษาอังกฤษ หรือ รถไฟในญี่ปุ่น มีหลายสายมากๆ บางสายมีเฉพาะตัวหนังสือภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น เป็นต้น ก็เลยต้องทำการบ้านกันหนักเลย แต่อาศัยว่า เราพอได้ภาษาอังกฤษนิดหน่อย, อ่านตัว คาตาคานะ, ฮิราคานะ พอได้นิดๆ ก็เลยลองๆ เสี่ยงดู อิอิ

kinuya-248

วัดอาซากุสะ หรือวัดเซนโซจิ ประเทศญี่ปุ่น

การวางแผนไปญี่ปุ่น ด้วยตัวเอง

ก่อนอื่นเลย สิ่งที่เราจะต้องทำคือ วางแผนก่อนว่า เราจะไปกี่วัน วันไหนไปเที่ยวไหน ใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ ค่ารถไฟ ค่ากิน (อันนี้ไม่รวมค่าโรงแรม และค่าเครื่องบิน) และนอกจากเรื่องที่เที่ยว ที่กิน และเงินสำหรับใช้จ่ายที่ต้องแลกเงิน จากเงินบาท เป็นเงิน Yen ก่อนเดินทาง ซึ่งปกติก็จะใช้บริการของ Super rich ครับ สิ่งที่ต้องวางแผนต่อไปคือ หาข้อมูล ผมขอแนะนำแหล่งข้อมูลก่อนเดินทางไปญี่ปุ่น ตามแบบที่ผมไปจริงๆ ก็ตามนี้เลย

1. 11 เรื่องน่ารู้ก่อน เที่ยวญี่ปุ่น
2. ไปญี่ปุ่นควรเตรียมเสื้อผ้าอย่างไร?
3. ดูข้อมูลการเดินทาง, สถานที่ท่องเที่ยว จาก Youtube ของน้องอุ้ม มาจิเด๊ะ เจแปน (ข้อมูลแน่นดี) ลองค้นหาดูจาก Youtube เองนะครับ
4. ดูสภาพอากาศ ของโตเกียว และ ฟูจิ (เพราะจุดประสงค์คือไปชมภูเขาไฟฟูจิด้วย) ดูได้ที่เว็บ Accuweather.com ค่อนข้างน่าเชื่อถือและดูล่วงหน้าได้ 25 วัน
5. เช็ครถไฟ หรือ รถบัสลีมูซีน ที่จะนั่งจากสนามบินนาริตะ เข้าโตเกียว (ผมเลือกนั่ง Limited Express ของ Keisei เพราะราคาถูก และเนื่องจากเราไปถึงโตเกียวเช้า ยังไม่สามารถเช็คอินโรงแรมได้ก็เลยไม่รีบ) ถ้าเอาแบบผม ก็ดูได้ที่นี่ Keisei Limited Express ราคา 1,030 เยน ถึงสถานี Ueno (จากนาริตะถึงโตเกียว ใช้เวลา 71 นาทีเท่านั้น ในขณะที่ใช้ Keisei Skyliner เสีย 2,470 เยน ใช้เวลา 41 นาที แล้วแต่ว่าใครจะอยากถึงเร็วหรือช้าก็เลือกนั่งได้ตามสบายเลยครับ)
6. สำหรับคนที่ต้องการใช้เน็ต Wifi ให้เช่าบริการ Pocket Wifi จะประหยัด และดีที่สุด เพราะว่า เน็ตค่อนข้างเร็ว และใช้งานได้พร้อมกัน ตั้งแต่ 5-10 คน ต่อ 1 เครื่อง ในที่นี้ ผมใช้ Samurai Wifi จาก BS-Mobile ครับ อ่านรีวิว เที่ยวญี่ปุ่นไม่กลัวหลง ด้วย Samurai Wifi และ Apps แนะนำ ได้ที่นี่
7. ดาวน์โหลด Apps ต่างๆ ที่เกี่ยวกับญี่ปุ่น เช่น Tokyo+ Rail map, Touch Tokyo หรือ Trains.jp ก็ได้สำหรับตรวจสอบเส้นทางรถไฟได้ดีทีเดียว หรือลงที่สถานีนาริตะแล้ว ให้หาโบรชัวร์ตามสถานี จะมีแจก Free WIFI + App ชื่อว่า TABIMORI ช่วยได้เยอะทีเดียว
8. นอกจากนี้ เรื่องการจัดเตรียมของส่วนตัวก็ตัวใครตัวมันนะครับ

อ้อ อีกอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องการซื้อน้ำหนักกระเป๋า ผมแนะนำว่า ควรซื้อน้ำหนักกระเป๋าเยอะๆ ไว้ก่อนเลย เพราะรับรองว่าขากลับ มีขนของกลับเกินน้ำหนักแน่ๆ ซึ่งถ้าเกิดว่าเกินจริงๆ โดนค่าเพิ่มน้ำหนัก กิโลกรัมละ 2,000 เยน มันจะไม่คุ้มนะครับ ผมโดนมาแล้ว อึ้งไปเลย

เริ่มออกเดินทาง จากสนามบินดอนเมือง ไทย – สู่สนามบินนาริตะ ญี่ปุ่น

เมื่อทุกอย่างพร้อม เราเริ่มออกเดินทาง ไปสนามบินดอนเมือง เครื่องออกเวลา เที่ยงคืนครึ่ง ซึ่งเราไปถึงสนามบินราวๆ 3 ทุ่ม เพราะ ไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ จะเปิดให้เช็คอินเวลาประมาณ 4 ทุ่ม (แนะนำว่า ควรเช็คอินผ่านเว็บ ปริ้นท์มาจากที่บ้านเลย จะได้ไม่ต้องไปรอต่อคิวยาวๆ)

samurai-wifi-001

เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอม ทำให้คนไทยเดินทางไปญี่ปุ่นเยอะ ดังนั้น ถ้าไม่เช็คอินผ่านเว็บมาก่อน อาจจะต้องเสียเวลายืนต่อแถวรอเช็คอินแบบนี้ครับ ส่วนผมเช็คอินมาแล้ว เดินไปช่องชั่งน้ำหนักกระเป๋าได้เลย

samurai-wifi-002

ภายในเครื่องบิน ของ Thai Airasia X ช่วงที่เดินทางเต็มทุกที่นั่งเลยครับ สุดยอดมาก

samurai-wifi-003

ถึงนาริตะ ราวๆ 9.15 น. ตามเวลาญี่ปุ่น นี่คือภาพเมืองนาริตะ ก่อนจะ Landing ที่สนามบิน

samurai-wifi-004

เมื่อถึงสนามบินแล้ว ก็เข้าไปตรวจที่ ตม.ก่อน ซึ่งตอนอยู่บนเครื่องเราจะต้องเขียนใบ ตม. ให้เรียบร้อย นอกจากใบตม. แล้ว ต้องเขียนใบ Custom Declaration เพื่อผ่านศุลกากรญี่ปุ่นก่อน แล้วจึงไปรับกระเป๋า เสร็จแล้วก็เดินไปซื้อตั๋วรถไฟ Keisei Limited Express ซึ่งตรงนี้สามารถซื้อเป็น Keisie Skyliner ก็ได้ เวลาซื้อบอกที่เคาเตอร์ว่า ขอเป็น Keisei Limited Express ไม่เอาแบบ Local เพราะถ้าเป็น Local จะจอดบ่อย และนานกว่า Limited Express แต่ถ้ามีเงินหน่อย ก็ซื้อเป็น Skyliner ไปเลยก็ได้ ซึ่งจะเร็วกว่า Limited Express ครับ มีคนรีวิวญี่ปุ่นบางคนแนะนำให้ใช้บริการ Limusine Bus ซึ่งราคาจะแพงกว่า (3,000 เยน) Skyliner และ Limited Express แต่ดีตรงที่เราไม่ต้องขนกระเป๋าเอง และรถบัส จะมีบริการส่งถึงโรงแรมที่พักหลักๆ ให้ (ต้องสอบถามเองว่าเขามีบริการส่งที่โรงแรมที่เราพักหรือไม่ด้วย)

การเดินทางเข้าโตเกียว มีหลายวิธี สามารถดูวิธีเข้าสู่โตเกียวได้ ที่เว็บไซต์ totokyo.org ได้เลย

samurai-wifi-006

ได้มาแล้วครับ ตั๋ว Keisei Limited Express ราคา 1,030 เยน (เด็ก 520 เยน) 5 ใบ สำหรับเรา (ราคา ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2557 นะครับ)

samurai-wifi-005

ฝั่งตรงข้ามเคาเตอร์ Keisei จะเป็นเคาเตอร์สำหรับซื้อบัตร Suica ครับ ผมซื้อที่นี่เลย ในราคา 3,000 เยน ในราคานี้ รวมมัดจำ 500 เยน (คืนทีหลังได้) พร้อมเงินในบัตร 2,500 เยน สำหรับค่ารถไฟ JR ในโตเกียว และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้ตามต้องการครับ โดยรวมๆ ถือว่าสะดวกดี เงินหมดก็เติมตามตู้ต่างๆ ได้

samurai-wifi-008

เมื่อได้ทั้งตั๋วรถไฟ Keisei และบัตร Suica แล้ว ก็เดินเข้าชานชาลา ที่จะไปโตเกียวครับ ซึ่งอยู่ชั้นใต้ดิน ชานชาลาที่ 3 (สอบถามที่เคาเตอร์ก่อนก็ได้ว่าชานชาลาไหน)

kinuya-001

เมื่อรถไฟมา ก็ได้เวลามุ่งหน้าสู่โตเกียว ด้วย Keisei Limited Express แล้ว สังกเกตดูได้ครับว่า รถไฟว่างจริงๆ เราสามารถเอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ขึ้นรถไฟได้สบายๆ ไม่ต้องกลัวเกะกะคนด้วย สะดวกจริงๆ ครับ ซึ่งสายนี้สุดปลายทางที่สถานที Ueno ดังนั้น ไม่ต้องกลัวหลง หรือลงผิดที่แน่นอนครับ ยิ่งใครพักอยู่ Ueno หรือพักโรงแรม Kinuya แบบผมด้วย ยิ่งสบายเลยครับ เพราะออกจากสถานทีก็จะเจอโรงแรมทันที แทบไม่ต้องลากกระเป๋านานๆ เลย แล้วจะรีวิวโรงแรม Kinuya ให้ชมอีกทีครับ

kinuya-004

ระหว่างทาง มีเวลาชมทุ่ง ชมนกชมไม้ได้ตลอดทางเลย

kinuya-011

ใช้เวลาราวๆ 70 นาที จากสนามบินนาริตะ เข้าสู่เมืองโตเกียว ซึ่งนั่ง Limited Express กับ Skyliner ที่ราคาต่างกัน ราวๆ 1,370 เยน เวลาต่างกัน 30 นาทีเท่านั้น ถ้าไม่รีบ แนะนำให้นั่ง Limited Express ประหยัดกว่ามากครับ

kinuya-022

พอออกจากสถานที Ueno แล้ว ให้เราขึ้นบันไดทางขวา เปิดประตูออกไป ก็เจอโรงแรม คินูย่า (Kinuya Hotel) ทันทีครับ โอ้วววว อะไรจะสะดวกปานนี้ สุดยอดจริงๆ ซึ่งที่นี่ผมจะมานอนในคืนที่ 2 ซึ่งคืนแรกเราไปนอนที่ Sheraton Miyako Tokyo ใกล้สถานี Meguro แต่เราสามารถเอากระเป๋าเดินทางมาฝากไว้ที่นี่ก่อนได้ครับ เอาล่ะ สำหรับรีวิวแรก ผมจบที่โรงแรมก่อนนะครับ เดี๋ยวจะยาวเกินไป คอยติดตาม เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ไม่ง้อทัวร์ แบบครอบครัว วันแรกในโตเกียว ตอนต่อไปเร็วๆ นี้ครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่าน

สำหรับทริปนี้ ผมวางแผนเที่ยว ช้อปปิ้ง ใช้เวลาทั้งหมด 6 วัน 5 คืน ดังนี้ (จะรีวิวเพิ่มเป็นจุดๆ นะครับ)

  1. วันที่ 1 พัก Sheraton Miyako แถวๆ สถานที Meguro นั่งรถไปเที่ยวที่ Shibuya, กิน Gyoza ชื่อดัง
  2. วันที่ 2 ไปวัดอาซากุสะ กลับมาเช็คอินที่ Kinuya แล้วเดินตลาด อาเมโยโกะ, ตึกม่วง
  3. วันที่ 3 ไปเดิน ชินจูกุ, กิน Black Burger ที่ Burger King และเดินซื้อของ 100 เยน และจองตั๋วสำหรับไปดูภูเขาไฟฟูจิ กับ Odakyu เส้นทาง Hagone และตั๋วรถไฟ Romance Car นั่งรถกลับ Akihabar เดินซื้อของเล่น, เกมส์ และหาซื้อกล้อง, Lego ที่ตึก Yodobashi Akiba
  4. วันที่ 4 ออกเดินทางไปเที่ยว ภูเขาไฟฟูจิ เส้นทางทาง Hagone, นั่งรถ Tozan Line, Cable Car, นั่งกระเช้า, กินไข่ดำ, ล่องเรือโจรสลัดที่ทะเลสาบอาชิ และนั่งรถบัสจาก กลับมาที่ Odawara เพื่อขึ้นรถ Romance Car กลับชินจูกุ และต่อ JR Yamanote Line กลับ Ueno
  5. วันที่ 5 เช็คเอาท์ ฝากกระเป๋าที่โรงแรม แล้วไปเที่ยว Odaiba ดูกันดั้มที่ Diver City, Vinus fort, ตลาดนัดมือสอง และตึก Decks เสร็จแล้วกลับมารับกระเป๋า นั่งรถไฟ Keisei Limited Express กลับสนามบินนาริต เวลา 19.30 นอนสนามบินนาริตะ 1 คืน ก่อนนั่ง Thai Airasia X กลับเวลา 9.15 น.ของวันที่ 6 ถึงสนามบินดอนเมือง เวลา 15.00 น.

การเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตนเอง ไม่ง้อทัวร์ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของพวกเรา ซึ่งหลักๆ จะเดินทางด้วยรถไฟ สาย JR Yamanote ซึ่งวิ่งเป็นวงกลม รวมๆ 29 สถานี ทำให้เดินทางสะดวกไม่มีหลงแน่นอน โดยจะเน้นที่เที่ยวหลักๆ ที่คนไทยนิยมเที่ยวกัน เช่น ชิบูย่า, ชินจูกุ, วัดอาซากุสะ, ตลาดอาเมโยโกะ, ตึกม่วง, อากิฮาบาระ, โอไดบะ ชมกันดั้ม, ตลาดมือสอง ขายของถูก รวมไปถึง ฮาโกเน่ กินไข่ดำ ล่องเรือโจรสลัด ชมภูเขาไฟฟูจิ (เสียดายที่สภาพอากาศไม่อำนวยจึงไม่เห็น) รวมทั้ง นั่งกระเช้า รถราง ซึ่งระยะเวลา 5-6 วัน ถ้าเดินทางตามนี้ ก็ถือว่าคุ้มมากๆ ครับ ญี่ปุ่น ยังมีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะแยะ