นัดพบ “ราชาสนามรบ” ที่หน้า กระทรวงกลาโหม

Home / นักเที่ยวเชี่ยวทาง / นัดพบ “ราชาสนามรบ” ที่หน้า กระทรวงกลาโหม

คุณรู้จัก “ราชาแห่งสนามรบ ไหม”… วันนี้ผิมนัดพบกับบรรดาราชาทั้งหลายเหล่านั้น

ผมยืนอยู่หน้าอาคารสถาปัตยกรรมตะวันตกแห่งหนึ่ง ในเกาะรัตนโกสินทร์ ใกล้ๆ ท้องสนามหลวง หวังจะมาเยี่ยมบรรดาราชาแห่งสนามรบ ที่รวบรวมพลกันอยู่ที่นี่ ถ้าอายุอานามของแต่ละขุนพลแล้ว ก็ไม่ต่ำกว่า 300 ปี ที่อายุมากที่สุดเท่าที่พบในอาคารแห่งนี้ ก็ 390 ปี เห็นจะได้ ประวัติการร่วมรบปกป้องอธิปไตยชาติไทยของขุนพลเหล่านี้มีมายาวนาน และมีความแข็งแกร่งทรงอานุภาพ

นัดพบ “ราชาสนามรบ” ที่หน้า กระทรวงกลาโหม

นัดพบ ราชาสนามรบ ที่หน้า กระทรวงกลาโหม

ราชาแห่งสนามรบ” ที่ผมหมายถึงนั้น คือ บรรดาปืนใหญ่ อดีตขุนพลเอกของไทย นั้นเอง

ด้วยประสิทธิภาพในการทำลายล้างสูงและยิงได้ระยะไกล ใช้บุกโจมตีศัตรูในยามศึกสงคราม จึงทำให้ใครๆ ก็ต่างขนานนามให้ว่าเป็น ราชาแห่งสนามรบ แต่เมื่อขุนพลเหล่านี้ถูกปลดประจำการ ด้วยอายุอานามที่มาก จึงทำให้ถูกนำมาจัดตั้งเป็นผืนใหญ่ที่คอยปกป้องพระนครในยามสงบ ตามเชิงเทินบนป้อมปราการ

นัดพบ "ราชาสนามรบ" ที่หน้า กระทรวงกลาโหม

ผู้คนมากมายที่เดินผ่านหน้ากระทรวงกลาโหม ไม่ว่าจะผ่านเข้าออกวัดพระแก้วหรือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทางประตูสวัสดิโสภา หรือจะไปกระทรวงการต่างประเทศ(เก่า) หรือไปนมัสการศาลเจ้าพ่อหลักเมืองก็ตาม จะต้องเห็นปืนใหญ่ที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หน้ากระทรวงกลาโหม ชินตากันมานานหนักหนา ผมรู้สึกว่าหลายคนแทบจะไม่เห็นความสำคัญ เพราะเห็นมานานมากจนเป็นธรรมดาไปเสียแล้ว

นัดพบ "ราชาสนามรบ" ที่หน้า กระทรวงกลาโหม

สำหรับประวัติของปืนใหญ่นั้นมีใช้ในประเทศไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา ในสมัยอยุธยา
กระบอกที่เก่าที่สุด ที่ผมบอกว่ามีอายุกว่า 390 ปีนั้น คือ ปืนใหญ่อัคนิรุท ใครที่อยากเห็นหน้าคร่าตา ให้สังเกตุสนามฝั่งทิศเหนือบริเวณที่ติดกับศาลหลักเมือง ปืนใหญ่กระบอกที่เก่าที่สุดตั้งอยู่บริเวณนั้น มีผู้สันนิษฐานว่าปืนใหญ่กระบอกนี้นำเข้าจากยุโรป ในสมัยอยุธยาปี พ.ศ.2167 ทำด้วยสำริด บนกระบอกมีจารึกชื่อ มีรูปเครื่องหมายของประเทศสเปนบริเวณท้ายกระบอก จากอักษรบนกระบอกอ่านได้ว่า “BERN ADINO DE AND 1624

นัดพบ "ราชาสนามรบ" ที่หน้า กระทรวงกลาโหม

ปืนใหญ่ที่จัดแสดงที่นี่แบ่งออกเป็นสามกลุ่มตามพื้นที่ของสนามซึ่งถูกคั่น ด้วยถนนทางเข้าและทางออก ฝั่งทิศเหนือติดศาลหลักเมือง ตรงกลางเป็นเสาธงชาติมีสนามล้อมรอบ ฝั่งทิศใต้ติดกับกรมแผนที่ทหาร

ปัจจุบันจัดแสดงปืนใหญ่ทั้งหมดจำนวน 40 กระบอก โดยเรียงลำดับหมวดหมู่ตามอายุและยุคสมัยของปืน เริ่มจากปลายกรุงศรีอยุธยา ธนบุรี จนถึงรัตนโกสินทร์

นัดพบ "ราชาสนามรบ" ที่หน้า กระทรวงกลาโหม

สำหรับการจัดวางปืนใหญ่โบราณเริ่มขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้นำปืนใหญ่จากพระบรมมหาราชวังและวังหน้ามาจัดวางบนสนามด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากพระองค์ทรงเห็นตัวอย่างจากการจัดวางปืนใหญ่หน้า สถาบันวิชาการทหารของประเทศอังกฤษที่ทรงศึกษามา ต่อมาใน พ.ศ.2464 พลเอกเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต เสนาบดีกระทรวงกลาโหมได้รับพระบรมราชานุญาตให้จัดวางปืนใหม่อีกครั้ง มีจำนวนปืนเพิ่มขึ้น และที่สำคัญคือได้จัดทำประวัติปืนใหญ่โบราณของไทยขึ้นเป็นครั้งแรก จึงถือว่าครั้งนี้เป็นการจัดทำพิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่กลางแจ้งขึ้น

จุดเด่นของปืนใหญ่แต่ละกระบอกที่จัดแสดงคือลวดลายประดับโดยส่วนใหญ่ จะอยู่บริเวณท้ายปืน รอบปากกระบอก และส่วนกลางกระบอก บางกระบอกมีรูปที่เพลาและรอบรูชนวนด้วย ลวดลายเหล่านี้แสดงถึงรูปแบบศิลปะที่นิยมกันในยุคที่ปืนกระบอกนั้นถูกสร้าง ขึ้น เช่น รูปบุคคลมีปีกคล้ายกินนรแต่ศีรษะเป็นฝรั่งมีผมหยิกเป็นวง รูปสิงห์ รูปคชสีห์ ลายไทยแบบที่พบได้ในสถาปัตยกรรม และหลายกระบอกประดับลวดลายแบบตะวันตก

นัดพบ "ราชาสนามรบ" ที่หน้า กระทรวงกลาโหม

ที่สนามฝั่งทิศใต้ยังมีปืนใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่สุด ชื่อ ปืนพญาตานี ราชาเอกในการคว้าชัยชนะจากเหตุการณ์ที่พม่ายกทัพมาตีหัวเมืองทางใต้ นอกจากนี้ปืนพญาตานีนี้ยังเป็นปืนใหญ่ที่โดดเด่นที่สุด ด้วยความเป็นมาที่มีสีสันกว่าปืนกระบอกอื่น ใช้วัสดุสำริด ส่วนท้ายปืนเป็นรูปสังข์ปลายงอน ที่เพลามีรูปราชสีห์ บนกระบอกปืนมีจารึกว่า ”พญาตานี” มีห่วงสำหรับยก 4 ห่วง มีรูชนวนบริเวณท้ายปืน ความยาว 6.82 เมตร ขนาดใหญ่ และยาวที่สุดในบรรดาปืนใหญ่ที่นี่

สหายของปืนพญาตานีนั้น คือ ปืนนารายณ์สังหาร ตั้งไว้อยู่ทางสนามฝั่งทิศเหนือ มีลักษณะที่ต่างจากพญาตานีตรงที่กระบอกปืนกว้างและสั้นกว่า ความยาว 4.5 เมตร มีลวดลายน้อยกว่า แต่ปืนทั้งสองกระบอกเป็นปืนลูกโดดประเภทกระสุนวิถีราบเหมือนกัน ใช้สำหรับยิงระยะไกลเพื่อทำลายป้อมกำแพง เรียกว่าอานุภาพมหาศาลมากๆ

แล้วก็ยังมีปืนใหญ่อีก 6 กระบอก ที่หน้าศาลาว่าการกลาโหมที่หล่อมาพร้อมกับปืนนารายณ์สังหาร สันนิษฐานว่าน่าจะมีช่างชาวฝรั่งเศสให้คำปรึกษาในการหล่อปืนครั้งนั้น โดยปืน 6 กระบอกดังกล่าวมีชื่อไพเราะ ดุดัน และคล้องจองกันเป็นคู่ว่า “มารประไลย ไหวอรณพ พิรุณแสนห่า พลิกพสุธาหงาย พระอิศวรปราบจักรวาล พระกาลผลาญโลก”

นัดพบ "ราชาสนามรบ" ที่หน้า กระทรวงกลาโหม

ถัดมาเป็นปืนจากประเทศโปรตุเกสชื่อว่า เหราใจร้าย สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2213 หูจับมีรูปร่างคล้ายปลา มีรูปมงกุฎและนกบริเวณท้ายลำกล้องและอักษรอ่านได้ว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็น เกียรติแด่พระเจ้าแผ่นดิน ความยาว 2.27เมตร ส่วนอีกกระบอกหนึ่งเป็นปืนจากประเทศฝรั่งเศสชื่อปราบอังวะ มีจารึกท้ายกระบอกว่า เจ เบรังเยร์ (J. BERENGER) แห่งเมืองดูเอย์ (douai) มีรูปลูกแพร์และลวดลายใบไม้แบบตะวันตกล้อมรูชนวน

จุดที่น่าสนใจคือชื่อของปืนหลายกระบอกแสดงถึงชนชาติต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์ทางทหารกับไทย เช่นชื่อ ขอมดำดิน ไทใหญ่เล่นหน้า ยวนง่าง้าว ฝรั่งร้ายปืนแม่น จีนสาวไส้ มักกะสันแหกค่าย และมุงิดทะลวงฟัน เป็นต้น นอกจากปืนใหญ่แล้ว ยังมีรูปปั้นพญาคชสีห์ สัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหมยืนสง่าอยู่สองข้าง คชสีห์เป็นสัตว์หิมพานต์ ลำตัวเป็นราชสีห์ส่วนหัวเป็นช้าง เป็นตราประจำตำแหน่งของสมุหกลาโหมตั้งแต่สมัยอยุธยา

หลังจากที่ปืนใหญ่เหล่านี้ปลดประจำการ ผันจากราชาสนามรบ มาโลดแล่นบนแผ่นฟิล์มภาพยนตร์ย้อนยุคแล้วนั้น ผมว่ายังมีคนอีกมากมาย ที่ยังไม่เคยมาดูมาสัมผัสใกล้ให้เห็นกับตา ผมแนะนำว่าให้มาเดินชมเจ้าปืนใหญ่เหล่านี้เพลินๆ แล้วคุณจะหลงเสน่ห์เจ้าปืนใหญ่โบราณเหล่านี้

บทความน่าอ่านจาก http://www.emaginfo.com ร่วมกับ travel.mthai.com

www.emaginfo.com


View Larger Map