ในห้วงความรู้สึกลึก ๆ ของคนทำงาน ย่อมมีโมเม้นท์ที่คิดว่าร่างกาย และจิตใจยังต้องการการพักผ่อนอยู่เป้นประจำ บางครั้งก็รู้สึกว่า อยากสิงตัวอยู่บนเกาะสักเกาะ สูดอากาศ เอนกายอยู่บนที่ไหนสักแห่ง ให้ฉ่ำปอด ฉ่ำกาย และฉ่ำใจ ก่อนจะกลับเข้าโหมดงานอีกครั้ง
ลงเรือล่องใต้ เสน่ห์ที่ซุกซ่อนไว้บน เกาะลิบง
ครั้งนี้ ผมจึงปักหมุดการเดินทางในครั้งนี้ไว้ที่ ‘เกาะลิบง’ เกาะที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดตรัง ได้ยินชื่อเกาะลิบงมานานพอควร แต่เพิ่งมีโอกาสได้ไปทำความรู้จักนี่ล่ะ
การเดินทางมาที่นี่ ผมมีความหวังลึกว่าจะได้เห็นวิถีของพะยูนในทะเล เพราะที่เกาะลิบงเป็นแหล่งหญ้าทะเลใหญ่ที่สุดของประเทศ แน่นอนว่าของโปรดของบรรดาพะยูนอยู่ที่นี่แล้วล่ะก็ ก็น่าจะได้เห็นกันบ้าง อย่างที่บอกไป เกาะลิบง ตั้งอยู่ในน่านน้ำทะเลตรัง บริเวณปากแม่น้ำตรังและแม่น้ำปะเหลียน พื้นที่ของเกาะนั้นใหญ่กว่าเกาะใดๆ ในตรัง
หากจะมาลิบง ก็ต้องอาศัยเรือโดยสารที่ ท่าเรือหาดยาว ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก็ไปถึง วิถีชีวิตที่สัมผัสได้บนเกาะลิบง คือแนวการใช้ชีวิตตามแบบของมุสลิมอย่างชัดเจน
เพราะประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม โดยมีถึง 3 หมู่บ้าน บนเกาะแห่งนี้ บ้านพร้าว จุดที่ตั้งของท่าเรือ เปรียบเสมือนประตูเข้าสู่เกาะ บ้านบาตูปูเต๊ะ จุดที่สามารถมองเห็นฝูงพะยูน หรือที่คนใต้เรียกกันว่า ดูหยง และบ้านหลังเขา จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดของเกาะ ทั้ง 3 หมู่บ้านถูกเชื่อมโดยถนนที่ปูด้วยอิฐบล็อก (อิฐตัวหนอน) กว้างพอที่รถยนต์ 2 คันขับสวนกันได้
ผมเลือกพักที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง ฝั่งบ้านบาตูปูเต๊ะ หรือทางด้านทิศตะวันออกของเกาะ ชอบนักเชียว บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบเนี่ยผมว่าที่เกาะนี้ดีอย่าง คือ ไม่ว่าจะเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้วก็ตาม แต่ผู้คนบนเกาะก็ยังดำเนินชีวิตร่วมกับนักท่องเที่ยวได้อย่างปกติสุข ไม่รบกวนวิถีชีวิตที่ดำเนินอยู่ทกวัน ชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้ชีวิตผูกพันกับทะเล บ้านเรือนถูกสร้างให้ยกสูงเหนือระดับน้ำทะเล เพื่อป้องกันน้ำทะเลท่วมถึง และเพื่อเป็นที่ผูกเรือ
การเดินชมชายหาดยามเช้า พระอาทิตย์โผล่ขึ้นเหนือขอบฟ้าใหม่ๆ เป็นอะไรที่ขับกล่อมอารมณ์ได้ดีมาก
หาดทรายขาว คละเคล้าคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ทอดยาวนำผมเดินชมได้เรื่อยๆ ไปจรดหมู่บ้าน เห็นเด็ก ๆ
กำลังเล่นสนุกอยู่ไม่ไกลจากเรือหางยาวที่ถูกผูกโยงไว้ใกล้ ๆ บ้าน ถัดไปเป็นสะพานท่าเทียบเรือเก่าที่กลายมาเป็นสนามเด็กเล่น เป็นที่พบปะพูดคุยของชาวบ้าน จุดตกปลา และจุดชมวิวของหมู่บ้านไปในตัว ซึ่งสามารถมองเห็นแนวเขาบาตูปูเต๊ะ ที่เป็นสัญลักษณ์ของหมู่บ้านได้จากบนสะพาน
บรรยากาศยามเช้าของที่นี่ ค่อนข้างคึกคักไปด้วยสภากาแฟ ร้านรวงต่างๆ เต็มไปด้วยผู้คนที่มาล้อมวง
พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันอย่างสนุกสนาน การที่นักท่องเที่ยวอย่างเราได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสวิถีแบบนี้
ก็เป็นการสร้างไมตรีไปอีกแบบ
หลังจากที่ผมอิ่มท้อง และทักทายสภากาแฟเล็กน้อย ก็ออกสำรวจเกาะต่อ บนเกาะลิบง มีชายหาด มีแหลมอยู่หลายแห่งที่เดียว เช่นแหลมโต๊ะชัย อ่าวโต๊ะมัย อ่าวโต๊ะเก ซึ่งสามารถขี่มอเตอร์ไซค์ไปได้ แต่เส้นทางค่อนข้างลำบาก และยังมีแหลมจูโหย และหาดตูบที่ต้องนั่งเรือไปชม แต่ในช่วงน้ำลง ก็สามารถเดินเท้าไปถึงหาดตูบเช่นกัน
ทางทิศเหนือของเกาะ มีไฮไลท์ของลิบงซ่อนอยู่ คือ หาดทุ่งหญ้าคา ซึ่งเป็นชายหาด ที่มีแนวหินวางตัวเรียงรายกันตลอดหาด และเป็นที่ตั้งของ สะพานหินไฮไลต์ของหาด ที่เป็นหินชายหาดขนาดใหญ่ต่อกัน และมีช่องว่างด้านล่าง มองดูเหมือนสะพานที่ทำจากหิน และอีกไฮไลท์หนึ่ง คือที่ แหลมปันหยัง ชายหาดเล็ก ๆ แสนเงียบสงบ ที่ผมแวะนั่งพัก ที่นี่น้ำทะเลใสสะอาด เหมาะแก่การเล่นน้ำ และนอนพักผ่อน แถมยังมีเรือคายัก ให้พายเพื่อชมฝูงดูหยงที่มากินหญ้าทะเลตรงบริเวณชายหาดด้วย แต่ถ้าหากไม่อยากพายเรือ ก็สามารถจ้างเรือหางยาวของชาวบ้านให้นำเที่ยว หรือจะปีนขึ้นไปดูจากจุดชมวิวบนเขาบาตูปูเต๊ะก็ได้เช่นกัน
ตกเย็นหากใครที่หลงใหลในทิวทัศน์อาทิตย์อัสดง แล้วล่ะก็ สามารถเดินทางสูงฝั่งตะวันตก เป็นที่ตั้งของบ้านหลังเขาของเกาะลิบง ซึ่งบริเวณหาดจะมีเรือหางยาวของชาวบ้านจอดเรียงกันหลายลำ เบื้องหน้ามีเกาะเล็ก ๆ ตั้งอยู่
บรรยากาศของวิถีตามธรรมชาติที่ปรากฏตรงหน้าสามารถสะกดให้หยุดนิ่งได้นานตราบเท่าแสงตะวันจะลับข
อบฟ้า กับการเดินทางครั้งนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างของลิบง ที่สะกดผมให้นิ่งงันอยู่กับความสุขได้หลายอย่าง
ทั้งภาพธรรมชาติที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ ทั้งชายหาดขาว น้ำทะเลใส หมูแมกไม้ และสัตว์ทะเล รวมไปถึงมิตรไมตรีของผู้คนบนเกาะ สารภาพตามตรงว่า ผมหลงเสน่ห์ เกาะลิบง เข้าแล้วสิ
บทความน่าอ่านจาก http://www.emaginfo.com ร่วมกับ travel.mthai.com