ในที่สุดบ้านเราก็เข้าสู่ฤดูหนาวกันเสียที หลังจากฝนตกแดดสลัวมาเป็นเวลานานพอสมควร เมื่อกายสัมผัสได้ถึงอากาศที่เย็นลง ทำให้ชีพจรขาเที่ยวของทีมงาน Travel MThai เต้นลงที่เท้า พร้อมจะออกก้าวเดินทางไปสัมผัสอากาศหนาวเย็นบนยอดดอย และทีมงานก็รู้ว่า สมาชิกมิตรรักทุกท่านก็รู้สึกเหมือนกันใช่ไม๊!?
เที่ยวเลย ตอนที่ 1 ชมธรรมชาติมหัศจรรย์ สัมผัสหนาวแรกของปี
ในที่สุดมีทริปท้าความหนาวแรกของปีนี้ ก็มาถึงเมื่อ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้เชิญพวกเราไปเที่ยวยังจังหวัดเลย อีกหนึ่งจังหวัดเที่ยวยอดฮิตในช่วงหน้าหนาว ที่คนไทยหลายคนอยากไปสัมผัส โดยเฉพาะ “ภูกระดึง” ในอุทยานแห่งชาติภูกระดึง จุดหมายปลายทางสุดท้าทาย ที่ทุกคนจะต้องไปให้ถึง!
ทริปใจดีพาไปสัมผัสอากาศเย็นโดย ททท. สนง.ภาคอีสาน ครับ 🙂
แต่ที่ “เลย” ไม่ใช่มีแค่ที่ ภูกระดึง ที่ต้องไปเที่ยวเท่านั้น จังหวัดในภาคอีสานตอนบนแห่งนี้ ยังสถานที่ท่องเที่ยวให้พวกเราต้องไปสำรวจอีกมากมาย แต่ว่าพวกเราจะไปเที่ยวที่ใดนั้น ลองติดตามเส้นทางของพวกเรากันได้เลยครับ
ไปคุนหมิงเมืองไทย นะจ๊ะ ไม่ใช่ป้ายบอกไปทางเมืองจีน อย่างเพิ่งเข้าใจผิด 😛
หลังจากทีมงานได้นั่งบนรถเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ก็มาถึงจังหวัดเลย ก่อนที่พวกเราจะเดินทางไปยัง อ.หนองหิน ซึ่งเป็นจุดหมายแรก ก็สะดุดกับป้ายข้างทางที่ชี้ทางไปยัง “คุนหมิง” เฮ้ย! นี่พวกเรามาไกล จนเลยไปถึงเมืองจีนเหรอ!? ไม่ใช่อย่างที่พวกเราอุทานกันไป แต่เป็นชื่อเรียกของสถานที่แห่งหนึ่งที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง ซึ่งเกิดจากฝีมือของธรรมชาติ หน้าตาของ “คุนหมิงเมืองไทย” จะเป็นอย่างไรเช่นไรนั้น ตามพวกเรามาเลย
ก่อนไปถึง “คุนหมิงเมืองไทย” ขอชมวิวเรียกน้ำย่อยขาเที่ยวกันก่อน กับธรรมชาติข้างทางบนถนนชนบท มองแล้วสดชื่น สบายตาจริงๆ จนไม่อยากกลับกรุงเทพฯ แล้วล่ะซิ ..
สวนหินผางาม… คุนหมิงเมืองไทย
ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงชั่วโมง บนทางหลวงหมายเลข 201 ก็มาถึง สวนหินผางาม หรือ “คุนหมิงเมืองไทย” ที่ร่ำลือกัน
คุนหมิงเมืองไทย ไม่ใช่แท่งหิน และป้ายบอกคำว่า “สวนหินผางาม” ที่อยู่ตรงหน้าพวกเรานะ ทีเด็ดของจริงยังรอเราอยู่ข้างในอีก แต่จะเดินเท้าเข้าไปเองก็ยังไกลเป็นกิโลเมตรอยู่ จึงต้องขอใช้บริการ “รถอีแต๊ก” ของชาวบ้านในพื้นที่แทน ราคาเที่ยวละ 10 บาท เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและแรงไปในตัว พร้อมแล้วลุยกัน!!!
“รถอีแต๊ก” ของพวกพี่พร้อมออกแล้วนะน้อง!
ระหว่างที่นั่งบนรถอีแต๊ก ก็มีทุ่งดอกบัวตอง ออกดอกสะพรั่งให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมกัน
พวกเราก็มาถึงทางขึ้นจุดชมวิวหลักของที่นี่ เพื่อขึ้นไปชมความงามของเหล่าหินผาต่างๆ ของสวนหินผางาม แห่งนี้
ก่อนจะถึงข้างบนจุดชมวิว นักท่องเที่ยวต้องเดินขึ้นบันได ซึ่งมีลักษณะชันและแคบ ต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นพิเศษ และค่อยเดินๆ ขึ้นไป ในช่วงที่พวกเราไปมีนักท่องเที่ยวมากพอสมควร ต้องใจเย็นขึ้นไปเรื่อยๆ กว่าจะถึงเล่นเอาหายใจหอบไปพักใหญ่
ในที่สุดก็มาถึงข้างบนของ จุดชมวิวหลักของสวนหินผางาม กันซะที ได้เห็นวิวของแนวแท่งหินแบบพาโนราม่ากันเต็มตา แล้วชื่นใจ คุ้มค่ากับการเสียหยาดเหงื่อ (เหตุผลข้อหลังนี้ เนื่องจากข้างบนจุดชมวิวมีอากาศเย็นนั่นเอง)
สวนหินผางาม เป็นเทือกเขาหินปูนขนาดใหญ่สามลูก และภูเขาหินปูนขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วทั้งพื้นที่ ภายในมีหินผารูปทรงแปลกตาเต็มไปด้วยซอกหิน หลืบถ้ำ และโพรงที่เชื่อมกันอย่างอัศจรรย์ โดยมีชื่อเรียก แตกต่างกันตามจินตนาการของแต่ละคน และมีความสวยงามคล้าย “คุณหมิงเมืองจีน” โดยนักวิชาการสันนิษฐานว่า เมื่อราว 225 ล้านปีที่แล้ว ที่สวนหินผางาม เคยเป็นทะเลมาก่อน เพราะปรากฏซากฟอสซิลของสัตว์ทะเลให้เห็นในบริเวณนี้
ที่สวนหินผางาม ยังมีธรรมชาติอื่นๆ ให้เดินเที่ยวชมกันด้านล่างอีก ไม่ว่าจะเป็น หินไดโนเสาร์ หน้าผาท้อแท้ ซุ้มคารวะ เขาวงกต เจดีย์หิน กำแพงเมืองจีน ซุ้มนรก รูรันตู (รูตัน) มีต้นไม้ยักษ์อย่างปรงเขาที่มีอายุหลายร้อยปี และที่ยังไม่เอ่ยชื่ออีกมากมาย แต่ด้วยเวลาที่จำกัด เพราะพวกเรายังต่องไปบุกป่าฝ่าดง ขึ้นดอยไปยังที่เที่ยวอันซีนอีกแห่ง ที่เด็ดไม่แพ้ที่นี่แต่อย่างใด จึงต้องขอจบทริปที่ สวนหินผางาม ไว้เพียงเท่านี้ก่อน ไว้คราวหน้ามีเวลามากกว่านี้ รับรองจะเที่ยวให้หมดทุกซอกทุกมุมของคุนหมิงเมืองไทยเลยทีเดียว!
ข้อควรระวังก่อนกลับ! ตอนขึ้นคิดว่าตื่นเต้นแล้ว ขาลงระทึกกว่า กรุณาเดินลงอย่างช้าๆ และพยายามจับราวบันไดไว้เป็นระยะ เพราะทางเดินลงมันชันมากนะครับ
จากนั้นพวกเราเดินทางสู่ ภูป่าเปาะ ที่เที่ยวอันซีน น้องใหม่ของจังหวัดเลยกัน ซึ่งอยู่ห่างจาก “สวนหินผางาม” ไม่ไกลมากนัก ประมาณ 7 กิโลเมตร แล้วทำไมจึงชื่อ ภูป่าเปาะ นั้นมาจากภูเขาที่มี ป่าไผ่เปาะ ขึ้นจำนวนมากนั่นเอง ซึ่งเจ้า ไผ่เปาะ เป็นไผ่ชนิดหนึ่งที่ขึ้นได้ทั่วไปตามภูเขายังสามารถพบได้ทุกๆ อำเภอ ของจังหวัดเลย ลักษณะของ ไผ่เปาะนั้น เป็นไผ่ที่เปาะแตกหักง่าย และนี่คือที่มาของคำว่า ภูป่าเปาะ ที่ตั้งชื่อได้เข้าใจง่ายดี…
ส่วนฉายาว่า ฟูจิ.. เมืองเลย มาได้อย่างไรนั้นพวกเรามีคำตอบ แต่ยังไม่เฉลยตอนนี้ ทีมงานขอพาสมาชิกไปนั่งรถอีแต๊ก (อีกแล้ว) เพื่อขึ้นเขา ภูป่าเปาะ กันก่อนนะครับ ที่นั่นมีคำตอบรอพวกเราอยู่ 😀
ระหว่างทางก่อนถึงยอดดอย ก็นั่งอีแต๊ก ชมทุ่งนา ดอกบัวตอง และวิถีชีวิตของชาวบ้านบริเวณนั้น ในบรรยากาศยามเย็นแบบชิลๆ กันก่อน
หลังจากรถอีแต๊ก วิ่งมาสักระยะ หนทางก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป.. เจอพื้นถนนดินที่ขรุขระ รถกระเด้งไปมา ทำให้ก้นของพวกเราระบมเล็กน้อย โดยเฉพาะรถอีแต๊กกำลังไต่ขึ้นที่สูง ให้นักท่องเที่ยวระวัง นั่งทรงตัวดีๆ กันไว้นะ
นักท่องเที่ยวที่นั่งรถอีแต๊ก ได้เห็นเนินเขาเตียน คล้ายจะหัวโล้น ไม่ต้องตกใจ! เมื่อก่อนที่ภูป่าเปาะ เคยมีปัญหาจากที่ชาวบ้านได้บุกรุกถางป่า เพื่อทำมาหากินจนเกินไปพอดี ทำให้สภาพแวดล้อมแถวนี้เสียหายไป จนกระทั้งได้มี อบต.ปวนพุ ร่วมกับคณะกรรมการหมู่บ้าน สนับสนุนให้ชาวบ้านหยุดการบุกพื้นที่ป่า และหันมาช่วยกันอนุรักษ์สถานที่ชุมชนของตนเอง โดยพัฒนาบริเวณภูป่าเปาะแห่งนี้ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันซีนแห่งใหม่ซะ เมื่อชาวบ้านเริ่มมีรายได้จากการท่องเที่ยว จึงหันมาช่วยกันดูแลและปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้น โดยหวังว่าในอนาคตจะได้มีป่าไม้เพิ่มมากขึ้น และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ยิ่งสูง ยิ่งหนาว… คำนี้ยังใช้ได้เสมอ เมื่อพวกเขาขึ้นมาถึงบนเขาภูป่าเปาะ พบว่าอากาศมันเย็นมาก ลมปะทะกายนี่มันหนาวสะท้านไปถึงใจเลยทีเดียว (อย่าหาว่าทีมงานโม้เลย ของแบบนี้เชิญสมาชิกมาพิสูจน์กันเองดีกว่า) นอกเรื่องไปไกลเลย พวกเรากลับมาทำความรู้จักกับ ภูป่าเปาะ หรือ ฟูจิเมืองเลย กันก่อนดีกว่า
ทำไมจึงเรียกว่า “ฟูจิ.. เมืองเลย” ฉายานี้ไม่ได้เรียก ภูป่าเปาะ กันนะครับ แต่เป็นชื่อเรียกของ “ภูหอ” กันต่างหาก ซึ่งมีลักษณะเป็นภูเขาสูงปลายยอดตัดราบบนภู ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับภูเขาไฟฟูจิยามา ที่ประเทศญี่ปุ่น จึงเรียกกันว่า “ฟูจิเมืองเลย” ส่วนที่ทีมงานเรายืนอยู่นั่น คือ ภูป่าเปาะ เป็นแค่จุดชมวิว “ภูหอ” ที่สวยงามตระการตาชัดเจนกว่ายอดดอยอื่นๆ ในบริเวณนี้เท่านั้นเอง
ภูหอ นอกจากเป็นภูเขาที่มีลักษณะเด่นแตกต่างจากที่อื่นแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์ของ ตำบลภูหอ อำเภอภูหลวงอีกด้วย เพราะภูหอลูกนี้ตั้งอยู่ในเขตที่กล่าวนั่นเอง จุดชมวิว ฟูจิ… เมืองเลย บนภูป่าเหาะ จะมี 4 จุด ด้วยกัน ซึ่งแต่ละจุดจะห่างกันประมาณ 200 เมตร ส่วนจุดสุดท้ายบนยอดเขา สามารถมองเห็นวิวได้ 360 องศา เต็มตามากที่สุด
นี่เป็นจุดแรกของการชม ภูหอ “ฟูจิเมืองเลย” บนภูป่าเปาะ คล้ายกับภูเขาไฟฟูจิยามา ของญี่ปุ่นไหม?
ขึนไปอีก 200 เมตร จะเป็นจุดชมวิวที่ 2 และ 3 ตามลำดับ สามารถมองเห็น “ภูหอ” ได้ชัดเจนไม่แพ้จุดแรก แต่ที่แตกต่างกันคือ อุณหภูมิบนภูป่าเปาะจะลดลงเรื่อยๆ ตามความสูงของภูเขา นักท่องเที่ยวคนใด ไม่ได้ส่วมเสื้อกันหนาวติดตัวมาด้วย รับรองได้หนาวสะท้านทรวงแน่นอน
ต่อไปจะเป็นจุดสุดท้ายของการชมวิว “ภูหอ” ซึ่งเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ ในจุดที่ 4 ที่ต้องนั่งรถอีแต๊กขึ้นไปอีก 200 เมตร แล้ว เท่านั้นยังไม่พอ! ต้องบุกดงป่าไผ่เปาะเจ้าถิ่นไปอีกประมาณ 150 เมตร ให้ถึงจุดหมายก่อนพระอาทิตย์จะตก ก่อนป่าแถวนี้จะถูกความมืดปกคลุม ซึ่งอาจจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับพวกเราได้…
ระว่างที่บุกบุกป่าฝ่าดง (ไผ่) นอกจากจะต้องเดินอย่างระมัดระวังกันแล้ว ต้องเตรียมรับมือกับความหนาวเย็น และเจ้ายุงป่าที่ไม่ได้รับเชิญอีกด้วย
ในที่สุดทีมงานก็มาถึง ยอดเขาภูป่าเปาะ ที่พวกเราสามารถเห็น ยอดฟูจิเมืองเลย ได้ชัดเจนที่สุด อีกทั้งเห็นวิวได้ถึง 360 องศา แบบพาโนราม่า คือ สามารถมองภูเขาได้รอบทิศทาง สร้างความตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก ทีมงานไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เห็นภาพดี ต้องไปดูไปชมด้วยตาตนเองกันดีกว่าจร้า นอกจากนี้ จุดบนสุดนี้สามารถชมพระอาทิตย์ได้ทั้งขึ้น และตกในจุดๆ เดียว คือ สามารถมารอบเช้าหรือเย็นก็ได้
เห็นยอด ภูเรือ “ฟูจิเมืองเลย” ได้เต็มตาสะใจกันไปเลย
นอกจากนั้น ยังสามารถมองเห็นภูเขาได้อีก 3 จังหวัด คือ อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ อุทยานแห่งชาติภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่น และผาสามยอด จังหวัดหนองบัวลำภู และวันใดที่ท้องฟ้าแจ่มใส ยังสามารถเห็นยอดเขาที่อยู่ไกลได้อีก อย่างเช่น ภูหินร่องเกล้า ภูกระดึง และเขาค้อ เป็นต้น พิชิตเขาลูกนี้ ได้ดูวิวจนคุ้มจริง!
ถึงเวลาพลบค่ำ พวกเรามาปิดท้ายการเดินทางในจังหวัดเลย กันที่ ถนนคนเดิน เมืองเชียงคาน อีกอำเภอท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งในจังหวัดเลย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ที่ให้บรรยากาศที่สวยงาม สงบ คลาสสิกสไตล์ย้อนยุค
จุดเด่นของ เมืองเชียงคาน คือ เป็นเมืองโบราณเก่าแก่ในสายตาของนักท่องเที่ยว (ส่วนใหญ่) ที่ผู้คนในชุมชนยังคงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มาได้ยาวนานกว่า 100 ปี อย่างเช่น บ้านไม้เก่าๆ ร้านกาแฟโบราณ และมุมหนังสือเล็กๆ เป็นต้น ในปัจจุบัน ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะวัยรุ่นหนุ่มสาว จะพาเดินเที่ยวกันเต็มไปหมด
แต่น่าเสียดาย ช่วงเวลาที่เราไปถึงเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว ถือว่าดึกไปเสียหน่อย หลายร้านเริ่มปิดกันแล้ว แต่ยังพอมีร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารเปิดอยู่บ้าง ถือว่าให้อารมณ์เที่ยวถนนคนเดินที่เงียบสงบ ในอากาศที่เย็นสบายไปอีกแบบ
หลังจากเดินทอดน่อง ให้สบายใจกันแล้ว พวกเราทีมงาน Travel MThai ขออนุญาติกลับที่พัก เพื่อพักผ่อนเติมพลังกันในคืนนี้ เผื่อพรุ่งนี้จะได้ตื่นขึ้นมาอย่างแจ่มใส แล้วทันชมหมอกยามเช้าริมฝั่งแม่น้ำโขง ที่เมืองเชียงคาน ว่าจะสวย เย็น กันขนาดไหน? ติดตามตอนต่อไปของทริปเลยในครั้งนี้นะครับ… สวัสดี
ภาพโดย เฮียนัฐ
เรียบเรียงโดย Travel MThai
เที่ยวเลย ตอนที่ 1 ชมธรรมชาติมหัศจรรย์ สัมผัสหนาวแรกของปี