อู่ฮั่น หนึ่งสีสันแห่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตอนที่ 1

Home / ท่องเที่ยวรอบโลก / อู่ฮั่น หนึ่งสีสันแห่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตอนที่ 1

travel mthai ชวนเปิดโลกกว้าง กระชับความสัมพันธ์กับพี่จีน ด้วยการเยือนเมือง อู่ฮั่น หนึ่งในเขตที่มีความเจริญทางด้านการค้าเป็นอันดับต้นๆ ของสาธาณรัฐประชาชนจีน ครั้งนี้ก็เช่นเคย เราข้ามน้ำข้ามทะเล กับ สายการบินแอร์เอเชีย เจ้าเก่า ในฤกษ์งามยามดีแถลงเปิดเส้นทางใหม่ บินตรง กรุงเทพฯ-อู่ฮั่น พร้อมผู้ช่วยสื่อสาร คุณไกด์ใจดี จาก Thai Vision Holidays งานนี้ไม่ต้องกลัวเซกลางกรุง!

อู่ฮั่น สาธารณรัฐประชาชนจีน

ทันทีที่เหยียบ อู่ฮั่น เราก็ได้รับข่าวดีว่า นับจากนี้ไปใครที่เข้าประเทศจีนเป็นครั้งแรก ต้องแสดง statement ประกอบการขอวีซ่า ได้ยินแล้วก็ขอบคุณ แอร์เอเชีย อีกครั้ง ที่ทำให้เรารอดจากการตีหน้าเศร้าหาเงินเข้าบัญชี!

อู่ฮั่น เมืองน่าเที่ยว

ก่อนตะลอนทัวร์ อู่ฮั่น เราก็ควรรู้จัก อู่ฮั่น สักเล็กน้อย อู่ฮั่น (Wuhan) เป็นเมืองเอกและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของมณฑลหูเป่ย (Hubei) ด้วยพื้นที่ 8,467.11 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 8 ล้านคน!! และเป็นเมืองที่อยู่ตอนกลางของจีน หากเหนือจะลงใต้ หรือ ใต้จะขึ้นเหนือ ก็ต้องผ่าน อู่ฮั่น ซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 3,500 ปี และเป็นเส้นทางผ่านของแม่น้ำหลักสองสาย คือ แม่น้ำแยงซีเกียง และ แม่น้ำฮั่นซุย อากาศโดยทั่วไปก็เหมือนบ้านเรา ร้อนอบอ้าว ทั้งๆ ที่มีหมอกลง เพราะเป็นเมืองใกล้แม่น้ำสายใหญ่ ถ่ายรูปยังไง๊ ฟ้าก็ไม่มีสีฟ้า แถมยังได้ชื่อว่าเป็น เมืองเตาไฟ เพราะเคยร้อนสุดถึง 40 องศา!

หอนกกระเรียน

เริ่มสถานที่เที่ยวแห่งแรกกับ หอที่สวยที่สุดใน อู่ฮั่น และสวยที่สุดติด 1 ใน 3 ของจีน นั่นคือ หอนกกระเรียน หรือ หอกระเรียนเหลือง (Huang He Lou) เป็นหอสูง 5 ชั้น อยู่ริมฝั่งแม่น้ำฉางเจียง สร้างในสมัยสามก๊ก ใช้เป็นหอสังเกตการณ์ข้าศึก ผ่านการบูรณะมาหลายครั้ง ภายในหอตกแต่งด้วยกระเบื้องรูปนกกระเรียน

มีตำนานกันถึง หอนกกระเรียน ว่าเดิมที่ตรงนี้เป็นร้านเหล้า วันหนึ่งเจ้าของร้านได้เลี้ยงเหล้านักพรตท่านหนึ่ง นักพรตจึงตอบแทนด้วยการใช้เปลือกส้มวาดรูปนกกระเรียนสีเหลืองที่ผนังร้าน อัศจรรย์ตรงที่เมื่อมีเสียงปรบมือ นกกระเรียนในภาพจะออกมาร่ายรำ เป็นที่ล่ำลือจนกิจการร้านนี้ดีขึ้น และหลายปีต่อมา นักพรตกลับมาเยือนที่ร้านอีกครั้ง และขี่นกกระเรียนบินจากไป ด้วยความรำลึกถึง เจ้าของร้านเหล้าจึงสร้าง หอนกกระเรียน นี้ขึ้น

ซื้อตั๋วเสร็จแล้วก็เดินขึ้นบันไดเล็กน้อย สิวๆ น้อยกว่าดอยบ้านเราเยอะ

การเดินทางสู่ หอนกกระเรียน จากจุดจอดรถ จะมีการขึ้น-ลงบันไดพอควร แต่พอเห็นมุมนี้แล้วฮึดขึ้นมาอีกเยอะ แต่แอบไปอ่อนแรงตรงขึ้นชมหอทั้ง 5 ชั้น เล่นเอาล้าเล็กๆ จริงๆ ลิฟท์ก็มีให้บริการนะ แต่สำหรับคนอายุ 70 ขึ้นไปเท่านั้น

หอนกกระเรียน ถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวชมเมือง อู่ฮั่น ตรงหน้าเราลิบๆ คือ สะพานข้ามแม่น้ำแยงซีเกียง

ชั้นนี้แสดงถึงพัฒนาการของการบูรณะ หอนกระเรียน ในแต่ละช่วงสมัย

   

 ………………………………………………..

พิพิธภัณฑ์มณฑลหูเป่ย

ต่อกันเบาๆ แต่หนักไปด้วยประวัติศาสตร์ กับ พิพิธภัณฑ์มณฑลหูเป่ย สถานที่จัดแสดงสมบัติอันล้ำค่าของมณฑลหูเป่ย กว่า 200,000 ชิ้น ได้แก่ เครื่องเคลือบ หยก เครื่องประดับ และอาวุธต่างๆ พื้นที่ของ พิพิธภัณฑ์มณฑลหูเป่ย แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของนิทรรศการ และส่วนของการแสดงดนตรี ในส่วนนี้ความพิเศษอยู่ที่ความไพเราะของ ระฆังเปียนจง เครื่องดนตรีที่แฝงไปด้วยประวัติศาตร์

ระฆังเปียนจง เป็นระฆังแถว แต่ละชุด จะสร้างถวายเป็นเกียรติแด่องค์จักรพรรดิ

บริเวณนี้คือส่วนของการแสดงดนตรี เราถ่ายคลิปมาฝากกันเล็กน้อย

        

………………………………………………..

สะพานข้ามแม่น้ำแยงซีเกียง

สะพานนี้เป็นหนึ่งใน สะพานข้ามแม่น้ำแยงซีเกียง ของ อู่ฮั่น ซึ่งมีทั้งหมด 7 สะพาน และ 1 อุโมงค์ ที่สำหรับใช้ข้ามแม่น้ำสายยักษ์ ต้องบอกว่ากว้างใหญ่กว่าเจ้าพระยาบ้านเราหลายเท่า สะพานนี้ถือเป็น สะพานข้ามแม่น้ำแยงซีเกียง แห่งแรกของ อู่ฮั่น ที่ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1957 เพื่อใช้ข้ามแม่น้ำระหว่างภูเขางูและภูเขาเต่า มีความยาวทั้งสิ้น 1,680 เมตร เป็นสะพานสองชั้น ชั้นบนเป็นถนน 4 เลน ชั้นล่างเป็นทางรถไฟรางคู่

เห็นสะพานและถนนเส้นต่างๆ ของพี่จีน ต้องยอมรับว่าสวยจริงๆ ช่วยให้บ้านเมืองเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก และแม้เทคโนโลยีจะโตแค่ไหน แต่ต้นไม้บ้านเขาก็โตตามด้วย ทุกมุมทุกหย่อมของถนนจะมีสีเขียวแฝงให้เรารู้สึกสบายตาเสมอ

มุมนี้มองจากด้านล่าง ให้ความรู้สึกไกลประมาณฝั่งไทยกับลาวมาก

การเดินขึ้นไปบน สะพานข้ามแม่น้ำแยงซีเกียง มี 2 ตัวเลือก คือ ลิฟท์ในภาพที่เห็นตรงหน้า จะขึ้นบันไดบริหารน่องก็ได้ ลิฟท์จะมีค่าใช้จ่าย ขึ้น-ลง ครั้งละ 2 หยวน ขึ้น 2 ลง 2 ก็ประมาณ 20 บาท บ้านเรา (1 หยวน = 4.8 บาท) ที่ต้องเก็บเพราะบ้านเมืองเขาคนเยอะมาก และมีคนเดินผ่านเส้นทางนี้ทุกวัน ถือว่าช่วยกันทำนุบำรุงทรัพย์สิน

ชาวเมือง อู่ฮั่น ลงมาเล่นน้ำกันสนุกสนาน จะมีใครลองว่ายไปอีกฝั่งยังนะ พี่จะยกมือไหว้งามๆ สักครั้ง

ที่เห็นนี้ คือ รถเมล์ไฟฟ้า ต้องยอมรับว่าพี่จีนค่อนข้างใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและพลังงานมาก ขนาดมอเตอร์ไซค์ยังไม่นิยมขับขี่ และไม่ให้เข้าเมือง ยกเว้นกรณีที่ต้องขึ้นเขาบ่อยๆ เพราะต้องใช้แรงขับเคลื่อนเยอะ โดยปกติจะใช้เป็นจักรยานไฟฟ้า หรือ สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า วิ่งกันว่อนบนถนนสายใหญ่ เพื่อช่วยลดมลพิษ ที่สำคัญแบบงงๆ จักรยานไฟฟ้า หรือ สกู๊ตเตอร์ ไม่ต้องใส่หมวกกันน็อค เพราะไม่ใช่มอเตอร์ไซค์ เง้อ!

จะสังเกตว่า ถ่ายรูปมา ท้องฟ้าจะมีหมอกตลอด ยิ่งบริเวณที่ใกล้แม่น้ำ ยิ่งเห็นได้ชัด

………………………………………………..

วิถีชาวอู่ฮั่น

ทิ้งท้าย อู่ฮั่น หนึ่งสีสันแห่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตอนที่ 1 ด้วย วิถีเล็กๆ ชีวิตยามเช้าของชาว อู่ฮั่น

 

พี่จีนนิยมอยู่คอนโด หรือ บางแห่งก็หน้าตาประมาณแฟลตบ้านเรานี่แหละ เหตุเพราะพื้นที่ทั้งหมดเป็นของรัฐ และไม่มีอาคารใดที่คงอยู่ถาวร บางแห่งจะมีเลขติดไว้ที่ตัวตึกเลย เช่น 70 ก็หมายถึง ตึกนึ้จะถูกทุบทิ้ง เมื่ออายุครบ 70 ปี โดยที่รัฐบาลอาจมีโครงการปรับเปลี่ยนไปสร้างอย่างอื่นที่คิดว่าสำคัญ หรือเหมาะสมแทน และจะมีการแจ้งลูกบ้านให้ทราบตั้งแต่เข้าอยู่ และหาที่อยู่ใหม่ให้ก่อนจะทำลายทิ้ง นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ ชาวอู่ฮั่นอยากจะออกจากห้องสี่เหลี่ยม มาสูดอากาศภายนอก ตั้งสมาคม พูดคุยกันตามสวนสาธารณะ (สวนสาธารณะบ้านเขาค่อนข้างเยอะมาก ที่หนึ่งรัฐบาลจัดไว้ให้ทอดยาวขนานกับแม่น้ำ)

สะพานลอยที่ อู่ฮั่น จะไม่ค่อยชัน และส่วนใหญ่จะแบ่งเป็นฝั่งขั้นบันได และพื้นเรียบ เพื่อให้จักรยาน หรือ รถเข็นคนพิการใช้สัญจรได้ ถือเป็นแนวคิดที่ดี เราจึงไม่แปลกใจว่าชาวเมืองนี้รักการเดินและสุขภาพแข็งแรงมาก

บรรยากาศยามเช้า บริเวณถนนเจียงฮั่น อารมณ์คล้ายๆ ห้างแบบเปิด เพราะสองข้างทางจะเรียงรายด้วยร้านขนม ร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมต่างๆ ยามเช้าก็เป็นที่สมาคมของคนทุกวัย แต่จะหนักไปทางผู้สูงอายุ ส่วนยามค่ำคืนก็คึกคักด้วยแสงไฟ และตลาดนัด แต่ต้องติดตามกันตอนที่ 2 นะฮะ

คนแก่ที่นี่แข็งแรงมาก ออกกำลังกายกันทุกรูปแบบ ตั้งแต่ รำไทเก๊ก แอโรบิคเบาๆ รวมถึงเข็นรถขายสินค้า

มาถึงสีสันยามเช้า ที่มีแทบทุกมุมถนน อย่าง บะหมี่กานเย่อเมี่ยน เป็นอาหารยอดฮิตและขึ้นชื่อของ อู่ฮั่น ไปที่นี่ต้องลอง แต่ลองแล้วอาจไม่ถูกปากคนบ้านเราเท่าไหร่นัก เพราะมันเผ็ดแปลกๆ บอกไม่ถูก ส่วนผสมก็ผักนั่นผักนี่ ราดน้ำเผ็ดๆ อันเป็นเอกลักษณ์ พี่เขากินกันอย่างออกรส จะให้ถึงวิถีแท้ต้องกินคู่กับปาท่องโก๋ยักษ์ ต่อคิวกันยาวมาก บางคนถึงกับรอไม่ไหว ซัดปาท่องโก๋ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว!

โต๊ะที่ร้านก็คือเก้าอี้นี่แหละ ง่ายๆ ไวๆ เพราะเวลามีไม่เยอะ อิ่ม สะดวก แถมทันเวลาเข้างานพอดี

บะหมี่กานเย่อเมี่ยน หน้าตาก็ประมาณนี้ ชามละ 5 หยวน เห็นแล้วก็พอชวนยั่วน้ำลายได้ หนึ่งในวิถีแห่งชาว อู่ฮั่น อยู่ง่าย กินง่าย แต่เรื่องยากก็ใช่ว่าจะไม่มี อยากรู้ต้องรออ่านอีกที ตอน 2 นะฮ้าฟ!