ลัดเลาะลำน้ำ เมืองเพชรบุรี

Home / นักเที่ยวเชี่ยวทาง, ภาคตะวันตก / ลัดเลาะลำน้ำ เมืองเพชรบุรี

ลัดเลาะลำน้ำ เมืองเพชรบุรี แบกเป้เที่ยวสบายกับวันว่างในแก่งกระจาน

เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก แถมวันดีคืนดีความหนาวก็ยังมาเยือน ฤดูที่ปั่นป่วนเช่นนี้ กลายเป็นปัญหาใหญ่ให้กับนักเดินทาง ที่ไม่รู้ว่าสถานที่งามๆ จะสวยสมใจเมื่อไปเยี่ยมเยือนหรือเปล่า

ลัดเลาะลำน้ำ เมืองเพชรบุรี

ลัดเลาะลำน้ำ เมืองเพชรบุรี

ล่าสุดพวกเราได้แบกเป้ พร้อมเสื้อกันหนาวเต็มพิกัด เพื่อไปสัมผัสสายน้ำไหลเย็น ในเดือนย่างเข้าหน้าร้อน แห่งแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี แต่เพราะฝนที่ตกกระหน่ำก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน และมีสายลมเย็นผ่านพัดตามมา ก๊วนชีพจรลงเท้าของเราจึงตะหงิดๆ ใจว่า การไปล่องแก่งครั้งนี้ คงต้องสนุกและชุ่มฉ่ำมากกว่าครั้งไหนๆ

เวลาประมาณ 8 โมงเช้า อากาศเย็นนิดๆ กลุ่มนักท่องเที่ยวจากเมืองกรุงนัดรวมตัวกันที่โลตัสพระราม 2 เพื่อค่อยๆ ขับรถชมวิวแบบเอ้อระเหย มุ่งหน้าไปสู่แก่งกระจาน จุดหมายปลายทางของการเที่ยวครั้งนี้

ด้วยความที่อยากกระตุกต่อมเที่ยว ให้ตื่นตัวขึ้นอีกนิด พวกเราแอบลดกระจกลงเล็กน้อยๆ เพื่อให้ใบหน้าได้สัมผัสกับลมเย็นๆ และกลิ่นเค็ม จากสองข้างทางที่ได้ขับผ่านนาเกลือของจังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งบางคนอาจรู้สึกเหม็น เพราะอาหารทะเลตากแห้ง แต่สำหรับก๊วนของเรากลับชอบที่จะสูดไอจางๆ จากทะเลเป็นที่สุด

ลัดเลาะลำน้ำ เมืองเพชรบุรี

ขับรถเพียงไม่นาน ล้อรถก็หยุดหมุนที่ตำไทยทุ่งปอเทืองร้านอาหารไทยสไตล์ลูกทุ่ง แบบเพิงๆ ที่ขับผ่านเขาย้อยมาไม่นานก็จะถึง สำหรับร้านนี้ที่เราขอแวะเติมแรงก่อนไประเบิดความมันกับการล่องแก่ง นับว่ามีรสชาติที่จัดจ้าน และแปลกใหม่สำหรับคนเมืองกรุง เนื่องจากเมนูเด็ดของร้านคือ ส้มตำปอเทือง ซึ่งเราเชื่อเลยว่าหลายคนคงไม่รู้จักกับพืชชนิดนี้

ส้มตำปอเทือง เป็นการนำเอาดอกปอเทืองสีเหลืองๆ นำไปชุบแป้งแล้วเอามาทอดจนเหลืองกรอบ ทานคู่กับน้ำส้มตำรสเปรี้ยวอมหวาน กินแต่ละคำหอมมัน อร่อยเหาะ ส่วนอีกเมนูที่ไปแล้วต้องไม่พลาดเลยก็คือ ไก่ทอดสมุนไพร ซึ่งมีทั้งรสเค็มๆ มันๆ หอมๆ จนไม่รู้ว่าไปหาแม่ครัวมาจากไหน รสชาติถึงได้อร่อยจนไม่อยากลุกไปไหน

นอกจากอาหารจะเรื่องชื่อแล้ว วิวทิวทัศน์ของทุ่งปอเทืองที่เหลืองอร่ามอยู่ด้านข้างร้าน ซึ่งมีต้นตาลสูงชะรูดแซมเป็นบางจุด และฝูงวัวเล็มหญ้าอยู่ไกลริบ ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าร้านนี้ได้ก้าวขึ้นสู่อันดับต้นๆ ของบรรดาร้านอาหาร ซึ่งคุณควรไปลิ้มลองซักครั้งก่อนตาย

ลัดเลาะลำน้ำ เมืองเพชรบุรี

หลังจากกินข้าวปากมันไปตามๆ กันแล้ว ก็ถึงเวลาโดดขึ้นรถ 4 ล้อมุ่งหน้าไปต่อยังนาน่า รีสอร์ท แอนด์ สปาที่พักสุดฮิพ ซึ่งชาวคณะเลือกมาค้างแรมกันแบบชิลๆ

หลังจากแวะไปเรื่อยเปื่อยตามประคนชอบเที่ยว เราก็มาถึงจุดหมายปลายทางที่ นาน่า รีสอร์ท แอนด์ สปา ซึ่งบอกเลยว่า น่าจะใหญ่โตมโหฬารกว่ารีสอร์ทอื่นๆ ในแก่งกระจาน แถมยังดูครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก จนอดคิดไม่ได้ว่ารีสอร์ทสวยๆ เช่นนี้ จะสามารถตอบโจทย์คนรักการผจญภัยแบบนอนกลางดินกินกลางทรายได้หรือ

หลังจากนั่งรถกอล์ฟและเดินสำรวจรีสอร์ทอยู่นาน ในที่สุดเราก็พบกับความปรารถนาของใจ ซึ่งนั่นคือ การล่องแก่ง ที่ทางผู้จัดการรีสอร์ทบอกว่า เต็มที่ให้เบียดกันได้ 10 คน ในราคา 1,200 บาท เมื่อรู้ถึงค่าใช้จ่ายและหารออกมาเป็นรายหัวแล้ว เราต่างก็พยักหน้าโดยพร้อมเพรียง จากนั้นจึงนั่งรอรถที่กำลังจะมารับกลุ่มนักท่องเที่ยวตาดำๆ ไปปล่อยยังต้นน้ำบริเวณเขื่อนแก่งกระจาน

และแล้วรถกระบะคันโต ที่ค่อนข้างขัดแย้งกับความหรูหราของรีสอร์ทก็มาจอดรับก๊วนคนเมือง เพื่อไปสัมผัสกับความมันแบบจริงๆ จังๆ หลังเคยเห็นแค่ภาพความสนุกจากโปสเตอร์การท่องเที่ยว

ลัดเลาะลำน้ำ เมืองเพชรบุรี

ระยะทางจากรีสอร์ทมุ่งหน้าไปยังต้นเขื่อน ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ซึ่งเมื่อมาถึงทุกคนก็ต้องสวมใส่อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย ที่เอ๊ะ…ไมมีเพียงแค่เสื้อชูชีพ ซึ่งงานนี้ก็ทำเอาสาวๆ เมืองกรุงแอบหวั่นว่า ศีรษะสูงส่งอาจจะกระทบกระเทือนหากไม่มีหมวกกันน๊อค แต่หลังจากร้องขอหมวกอยู่พักน้อยๆ สุดท้ายก็ไม่มีใครได้สวมหมวกเหมือนในภาพโฆษณาการท่องเที่ยว แล้วพวกเราจะรอดกลับมาได้หรือ???

นายท้ายผิวเข้มร่างเล็ก สำเนียงเหน่อนิดๆ ค่อยๆ ดันแพยางออกจากฝั่ง แล้วยื่นไม้พายให้กับลูกเรือผู้ไม่ประสีประสากับการจ้วงน้ำข้างละอัน แล้วทั้ง 3 ฝีพายกับชาวคณะก็เริ่มออกเดินทางสู่ธรรมชาติอันไกลโพ้น

ในเวลาประมาณบ่าย 4 โมงเย็น สายน้ำใสไหลเอื่อยๆ พาหัวเรือยางค่อยๆ แหวกไปกลางแม่น้ำเพชรบุรี ต้นน้ำเล็กๆ ซึ่งเป็นสายเดียวกับที่ “ปู่เย็น” หรือเฒ่าทระนง คอยหาปลาประทังชีวิต เสียงโห่ร้องจากก๊วนแก็งค์ในลำเรือเริ่มต้นขึ้น แม้ไม่มีความไหลเชี่ยวอยู่ด้านหน้า

ตลอดสองข้างทางมีต้นมะเดื่อย ต้นกุ่ม และกอไผ่ขนาดใหญ่ขึ้นอยู่เรียงราย วิวตรงหน้ามีเพียงสายน้ำอันคดเคี้ยว ต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวชอุ่ม และทิวเขาสลับซับซ้อน

ลัดเลาะลำน้ำ เมืองเพชรบุรี

รีสอร์ทที่อยู่ติดกับริมแม่น้ำ ซึ่งรู้สึกว่าจะมีให้เห็นตลอดการเดินทาง ได้สร้างความสุขใจให้กับนักท่องเที่ยวด้วยการจัดนานาซุ้มความสนุกบริเวณริมน้ำ แบบมีทั้งสไลเดอร์จากตัวที่พักลงสู่น้ำ จุดไต่เชือก ชิงช้าสูง หรือแม้กระทั้งสวนน้ำขนาดย่อมที่ผู้มาเยือนสามารถแหวกว่ายน้ำจากเขื่อน แต่อยู่ในสระส่วนตัวของรีอสอร์ท

เมื่อผ่านรีอสอร์ทแต่ละจุด สิ่งที่หลายคนบนลำเรืออดอมยิ้มไม่ได้ คงเป็นมิตรไมตรีจากคนไทยด้วยกัน ที่โบกไม้โบกมือ ส่งเสียงตะโกนทักทาย และชวนกินข้าวกินน้ำจากริมรีสอร์ท ซึ่งบางคนเมื่อเห็นมีแพยางผ่านมา ก็ช่วยเพิ่มเติมความสนุกด้วยการโหนเชือกแล้วโดดลงมาใกล้เรือลำน้อย ให้แก็งค์แพยางได้ชุ่มฉ่ำถ้วนหน้า

ไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่โค้งน้ำ ความเชี่ยวกราดอย่างที่ใจปรารถนาก็ยังไม่มาถึง จนในที่สุดต้องขอถามจากปากนายท้ายเรือวัยกระเต๊าะ ซึ่งคำตอบที่ได้ก็แอบทำเราน้ำตาตกใน นั่นเพราะตลอดการเดินทางจะไม่มีความหวาดเสียว และที่สำคัญไม่ว่าคุณจะมาในช่วงน้ำหลากเพียงใด สายชลแห่งนี้ก็มีเพียงน้ำใสไหลเย็นที่เอื่อยเฉื่อย เหมาะแก่การดื่มด่ำกับธรรมชาติมากกว่าคำว่า ระทึกใจ

ลัดเลาะลำน้ำ เมืองเพชรบุรี

ถึงจะไม่เจอความมันอย่างที่ต้องการ แต่การล่องแก่งก็ยังมีภาพสวยๆ ของต้นไม้ สายน้ำ และท้องฟ้าให้ได้เห็นความเพลิดเพลินใจ ได้ทำให้เพื่อนของเราบางคนอดไม่ได้ที่จะทำตามสุภาสิตไทย มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ก็แหม…น้ำเย็นๆ ใครบ้างไม่อยากสัมผัส แต่เมื่อนายท้ายกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า ปลาชะโดค่อนข้างชุกชุม แข้งขาขาวๆ ก็รีบหดมาอยู่บนลำเรือแบบไม่ต้องรอให้ใครสั่ง

บางจุดของสายน้ำ คุณจะได้ต้นเห็นหญ้าเขียวชอุ่มปูเป็นทางยาวสลับกับหินเล็กหินใหญ่นอนกลม เกลี้ยงอยู่ใต้ผืนน้ำ แต่ก็น่าเสียดายอีกนั่นแหละ ที่บรรดารีสอร์ทต่างๆ กลับผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด จนแอบบดบังความงามของธรรมชาติ ซึ่งเราคงทำได้แค่ ถอนหายใจ เพราะก็เข้าใจว่าใครๆ ก็ต้องการความเจริญเหมือนเมืองกรุงทั้งนั้น

นั่งเรือแพไหลล่องบนสายน้ำมาราวชั่วโมงกว่า การเหม่อมองไปยังทางข้างหน้า ที่มีแค่น้ำ ป่า เขา ก็ทำเอาง่วงเหงาหาวนอนได้ไม่ยาก ดังนั้น ก๊วนชีพจรลงเท้าจึงเริ่มปลุกตัวเองด้วยการซักไซ้ข้อมูลเกี่ยวกับการล่องแก่ง ในครั้งนี้ แล้วก็ได้ใจความมาว่า คนท้องถิ่นเขาจะไม่เรียกสายน้ำที่เรามาล่องว่า “เขื่อนแก่งกระจาน” หากแต่จะเรียกว่า “แม่น้ำเพชรบุรี” ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

ลัดเลาะลำน้ำ เมืองเพชรบุรี

 

เมื่อถามถึงความลึกตื้นของแม่น้ำ ก็ไม่มากนัก คิดๆ แล้วประมาณ 3-4 เมตร ซึ่งทางเขื่อนจะปล่อยน้ำออกมาในช่วงเวลาราวๆ 10 โมงเช้า และนั่นคือ เรือรอบแรกที่คุณสามารถล่องน้ำได้ ส่วนรอบปิดท้ายของวันจะอยู่ในช่วง 4 โมงเย็น ที่เรามากระหน่ำกันแล้ว และก็เจ๋งสุดๆ เนื่องจากแดดไม่แรงมาก น้ำใสเย็นกำลังดี แถมยังอาจได้เห็นชีวิตของชาวบ้านสองฝั่งน้ำ ที่ออกมาอาบน้ำอาบท่า หรือไม่ก็ซักผ้าตรงริมตลิ่ง

หันซ้ายหันขวาไม่นาน เสียงเหน่อๆ สไตล์หนุ่มเมืองเพชรก็ดังจากท้ายเรือ เพื่อบอกนักท่อเที่ยวว่าอีกประมาณ 2 โค้งน้ำ ก็จะสิ้นสุดการเดินทาง แล้วจู่ๆ ฝีพายจากเมืองกรุงฝั่งซ้ายมือ ก็รีบใช้เวลาที่เหลืออยู่ตะโกนถามนายท้ายเกี่ยวกับพรรณไม้ที่ขึ้นอยู่ตามริม น้ำ ซึ่งกระทาชายจากชมรมธุรกิจท่องเที่ยว (แก่งกระจาน-ลุ่มน้ำเพชรบุรี) ก็สามารถให้ความรู้แก่เราได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อถามถึงไม้ต้นใหญ่หน้าตาประหลาดซึ่งทุกคนต้องส่ายหัว ก็มีนายท้ายคนนี้นี่แหละที่ตอบเสียงดังฟังชัดว่า ต้นอะรูไม่ไร้ แหม…มุขคนเมืองเพชร

ลัดเลาะลำน้ำ เมืองเพชรบุรี

ระยะทาง 8 กิโลเมตร กับเวลา 2 ชั่วโมง ที่แม้จะไม่เจอะเจอกับความมันสะใจสัก แต่เราทุกคนก็ได้สัมผัสกับธรรมชาติ และความเย็นของสายน้ำ ซึ่งเมื่อกลับถึงที่พัก นักเดินทางแต่ละคนก็หมดเรี่ยวแรง เพราะการจ้วงน้ำสไตล์คนเมืองที่เรือไม่ไปแถมกวักน้ำกันเหนื่อยสุดๆ จนทำให้อาหารมื้อเย็นหายวับไปในพริบตา

ปิดท้ายคืนแห่งความทรงจำกับลุ่มน้ำเพชร หลายคนเลือกเดินเล่นในรีสอร์ทหรู ที่แม้จะดูโมเดิร์นแต่กลับมีเสียงจิ้งหรีร้องรำไพเราะอย่างที่ไม่เคยได้ยิน มานาน สายลมเย็นๆ ค่อยโชยผ่านร่างกายอันเหนื่อยล้า แล้วสุดท้ายเราก็ล้มตัวลงนอนกับทริปใกล้กรุง ซึ่งช่วยเติมเต็มประสบการณ์เดินทางได้ดีเยี่ยม คืนนี้เป็นอันว่าหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์….

 

บทความน่าอ่านจาก http://www.emaginfo.com ร่วมกับ travel.mthai.com

www.emaginfo.com
View Larger Map