สบายดี … ปากเซ (Shutter&Travel)
ปากเซ เมืองที่ดูเหมือนจะล้าหลังกว่าบ้านเราไปสัก 10-20 ปี ด้วยสภาพบ้านเมือง ที่พัก ถนนหนทางที่ดูจะไม่สะดวกสบายนัก แต่ไอที่มันดูลำบากเนี่ย ถึงทำให้เราอยากไปครับ 🙂
การเที่ยวลาวใต้ในช่วงหน้าฝนมันเป็นอะไรที่เหมาะที่สุดแล้วครับ มันให้ความรู้สึกอบอุ่น น่าหลงใหลกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตชนบทของที่นี่เหลือเกิน การได้เห็นผู้คน ชาวบ้านเด็กเล็ก ในหมู่บ้านต่างๆ เป็นวิถีธรรมชาติและกลิ่นอายของความเป็นชนบทที่ผมประทับใจครับ



อีกหนึ่งสิ่งที่น่ารักและนึกถึงทีไรก็ต้องอมยิ้มทุกครั้งคือ ภาษาที่ใช้ ลาวเป็นประเทศเพื่อนบ้าน เป็นเมืองพี่เมืองน้องกับไทยมาแต่โบราณ เราก็จะค่อนข้างคุ้นเคยกับภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษาอีสานอยู่เป็นทุน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจภาษาได้ง่าย ผมขอยกบางคำน่ารักๆ ที่ได้มาจากทริปนี้นะครับ
ไฟเขียว = ไฟอิสระ /ไฟแดง = ไฟอำนาจ / ถ่ายรูป = แหกตาสามัคคี / ผ้าอนามัย = ผ้ายันต์กันโลหิต / ถุงยางอนามัย = ถุงปลิดชีวิต / รถไฟ = ห้องแถวไหล
จะว่าไปแล้ว จริงๆ ทริปนี้เกิดขึ้นจากที่ผมได้ไปดูหนังแผ่น 2 เรื่องของ ศักดิ์ชาย ดีนาน ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “สบายดีหลวงพระบาง” และ “สบายดี 2 ไม่มีคำตอบจากปากเซ” ภาพยนตร์การท่องเที่ยวประเทศลาว ที่มีมุมกล้องง่ายๆ ถ่ายกันง่ายๆ นักแสดงเล่นกันง่ายๆ สบายๆ เหมือนชื่อ และภาพก็สวยแบบเรียบง่ายไม่เหมือนใคร หากใครต้องการสาระจากหนังสองเรื่องนี้คงต้องผิดหวัง แต่สำหรับผมมันทำให้รู้สึกอยากไปเที่ยวลาวสักครั้งครับ จากเหตุผลที่เล่ามาจึงเกิดทริปนี้ขึ้น 🙂


หลังจากที่เราออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 1 ชั่วโมง เราก็มาถึงสนามบินจังหวัดอุบลราชธานี เราติดต่อรถตู้ให้มารับเพื่อออกเดินทางมุ่งสู่ด่านช่องเม็กกันเลย เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ประมาณสิบโมงเราก็ข้ามด่านเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นเราใช้เวลาจากด่านช่องเม็กอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึงปากเซจนได้ เรานั่งรถเที่ยวชมเมืองปากเซพร้อมเรียนรู้ภาษาลาวคร่าวๆ จากไกด์สาวชาวลาว หลังจากรับประทานอาหารกลางวันกันอย่างเต็มที่แล้ว เราก็พร้อมที่จะออกเดินทางสู่ “ประสาทหินวัดภู” วันแรกนี้มีโปรแกรมเดียว เพราะการดินทางก็ใช้เวลาพอสมควร สำหรับที่นี่เป็นที่ที่ผมอยากมามากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของทริปนี้
“ประสาทหินวัดภู” เป็นประสาทเขมรในเมืองปากเซที่ได้รับการจดเป็นมรดกโลกไปเป็นที่เรียบร้อย ประสาทหินวัดภูตั้งอยู่บนเนินเขาที่มีภูเขาใหญ่อยู่ด้านหลัง และมีทางเดินขนานบึงลึกทอดยาวขนานคู่กันไปก่อนขึ้นตัวประสาท จากนั้นก็ขึ้นบันไดที่ค่อนข้างชัน ซึ่งก็พอให้ได้เหงื่อกันทั่วตัว เราใช้เวลาที่นี่กันเกือบทั้งบ่าย ถ่ายรูป เดินเล่น ทิวทัศน์จากด้านบนประสาทมองลงมาจะเห็นความสวยงามจากธรรมชาติ เราจบวันแรกกันที่ใต้โรงแรมด้วยเบียร์ลาวที่ชื่อว่า “เขยลาว” กันเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน 🙂

















เช้าวันรุ่งขึ้นเราต้องมีการเปลี่ยนโปรแกรมกันเล็กน้อย เพราะตอนนี้น้ำตกหลี่ผีไม่สามารถเดินทางได้ เนื่องจากน้ำโขงไหลแรงมาก จึงมีโปรแกรมอื่นมาทดแทน เช้าเราจึงไปเดินเล่นตลาดดาวเรืองกันก่อน ตลาดของคุณนายดาวเรืองเศรษฐีเมืองปากเซ ผู้ที่มีธุรกิจมากมายในเมืองนี้ การมาเดินตลาดทำให้เราได้สัมผัสวิถีชีวิตตอนเช้าของคนในเมืองนี้แบบใกล้ชิด แต่คุณนายดาวเรืองก็ไม่ได้เงินพวกเราไป เพราะด้วยแนวของที่ไม่ถูกใจและเรายังไม่อยากซื้อของในวันแรกๆ ของการเดินทาง




จากนั้นก็ไปแวะวังเจ้าบุญอุ้ม วังเก่าที่นำมาทำเป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว เราขึ้นไปชมวิวเมืองปากเซบนชั้น 6 เราใช้เวลาที่นี่ไม่น้อย ถ่ายรูปเพลินๆ ครับ … “เจ้าบุญอุ้ม” เป็นเจ้าผู้ครองแขวงจำปาสักองค์สุดท้ายก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ค.ศ.1975 (พ.ศ.2518) ทำให้วังของเจ้าบุญอุ้มอยู่ในความดูแลของรัฐบาลส่วนเจ้าบุญอุ้มลี้ภัยไปประทับอยู่ที่ฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1978 (พ.ศ.2521) โดยที่ตัวเจ้าบุญอุ้ม ซึ่งเป็นเจ้าของวังนั้น ไม่เคยอยู่ในวังของตัวเองเลยเพราะอพยพไปอยู่ฝรั่งเศสเสียตั้งแต่ก่อนวังจะสร้างเสร็จ เจ้าบุญอุ้มเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ประเทศลาวในฐานะผู้ทรงอิทธิพลฝ่ายอนุรักษ์นิยมขวาจัด จากภาคใต้ที่อุดมสมบูรณ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีลาวถึง 2 สมัย คือ พ.ศ.2491-2493 และ พ.ศ.2503-2505 ถึงช่วงปี พ.ศ.2513 การเมืองลาวแตกเป็นหลายก๊กหลายเหล่าเจ้าบุญอุ้ม ซึ่งขณะนั้นมีฐานที่มั่นอยู่ทางใต้ที่เมืองปากเซพอลาว เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในปี พ.ศ.2518 ก็หนีไปอยู่ฝรั่งเศสและไม่กลับมาอีก ทิ้งวังที่กำลังก่อสร้างค้างไว้ต่อมารัฐบาลลาว ให้บริษัทคนไทยจัดการต่อเติมจนเสร็จและเปิดเป็นโรงแรมในภายหลัง






จากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่น้ำตกคอนพะเพ็งแก่งน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ความยาวเกือบ 5000 กม. ของแม่น้ำโขง น้ำตกที่ได้ชื่อว่าเป็น ไนแองกาล่าแห่งเอเชีย ด้วยระยะทางไกลพอสมควรกว่าจะถึงน้ำตก เราจึงหลับกันไปสักพัก มันก็พอช่วยให้เวลาเร็วขึ้นได้ทันตา ระหว่างทางเราแวะกินเนื้อเก้งกันด้วย พลาญให้ต้องจัดเขยลาวแกล้มไปสองกระป๋อง ก่อนถึงน้ำตกคอนพะเพ็งน้ำตกที่นี่ใหญ่โตอลังการครับ แต่ด้วยความที่เป็นหน้าน้ำ จึงทำให้มันไม่ได้อวดโฉมตัวเองเท่าที่ควรจะเป็น เพราะสีของน้ำที่เข้มระดับน้ำที่สูง









ถัดจากน้ำตกคอนพะเพ็งเราไปต่อที่ตลาดแรมหลัก 7 จริงๆ แล้วตลาดนี้ไม่ได้อยู่ในโปรแกรมหลัก จากการปรับโปรแกรมนิดหน่อย เราจึงได้มาเดินเล่นที่นี่ ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ เราอยู่เก็บภาพบรรยากาศกันสักพัก ตลาดสดที่ทำให้เราเห็นถึงวิถีชีวิตชาวปากเซ ส่วนตัวชอบนะครับ ของขายที่วางขายกันแบบง่ายๆ ใครมีอะไรก็เอามาวางขายกัน บางอย่างก็ไม่ค่อยได้เห็นในบ้านเรา ทำให้เรารู้ว่าวัฒนธรรมการกินการอยู่ของคนพื้นที่นี้เป็นเช่นไร จบจากที่นี่ก็เย็นแล้ว เราแวะร้านกาแฟก่อนจะไปกินมื้อค่ำบนแพริมแม่น้ำโขงครับ 🙂











เช้าวันสุดท้ายเราเลือกไปกินอาหารเช้าที่ตลาดปากเซ การได้หาของกินในตลาดตอนเช้ามันได้บรรยากาศครับ ได้เห็นวิถีชีวิตของคนปากเซตอนเช้า เห็นเค้ากินอะไรกัน เห็นพ่อค้าแม่ขาย เห็นเด็กนักเรียนที่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียน เช้านี้ที่เรากินดขนมปังบาเก็ตกับเฝ๋อลาวครับ ก่อนที่เราจะออกเดินทางท่องเที่ยวกัน วันนี้ถึงแม้จะเป็นวันสุดท้ายของปากเซ แต่โปรแกรมเที่ยวน้ำตกก็แน่นขนัดจริงๆ






เราเริ่มต้นที่แรกกันที่น้ำตกตาดเยือง น้ำตกนี้สวยถูกใจครับ เราจอดรถเดินจากด้านบนของน้ำตก เพื่อลงไปเก็บภาพด้านล่างที่น้ำตกได้ทิ้งตัวลงมา น้ำตกตาดเยือง เป็นน้ำตกที่สวยงามแห่งหนึ่งของแขวงจำปาสัก สายน้ำที่ทอลงมาจากหน้าผา ทำให้น้ำแตกกระเซ็นเป็นละอองที่สวยงามและยังมีจุดชมวิวสำหรับถ่ายรูปที่เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดีด้านล่างเราได้ไปยืนที่บริเวณจุดชมวิวน้ำตกด้านล่างจะได้สัมผัสกับสายลมพร้อมละอองน้ำที่ปลิวมาด้านล่างอย่างเย็นสบาย จุดนี้ทำให้นักท่องเที่ยวอดไม่ได้ที่จะอยู่จุดนี้ให้นานที่สุด จากนั้นก็ขึ้นมาเดินเก็บภาพธารน้ำตกด้านบนที่เราเดินผ่านมาตอนแรก เราใช้เวลาที่นี่ไม่น้อยสำหรับการถ่ายภาพ เพราะแสงอ่อนยามเช้าลงกำลังดี



จากตาดเยือง เราก็ย้ายไปตาดฟาน น้ำตกที่ทางเข้าขาดเพราะเละไปด้วยโคลน ไม่สามารถนำรถตู้เข้าไปได้ เราต้องเปลี่ยนรถเฉพาะกิจที่แสนจะนุ่มนวลดุจรถเบนซ์ 🙂 น้ำตกตาดฟานหรือที่ไกด์ขนานนามว่าน้ำตกน้องเมีย ที่เรียกชื่อนี้ก็เพราะน้ำตกนี้เป็นสองสายขนาดใหญ่ที่มีมุมมองเหมือนไหลลงสู่ปล่องภูเขาไฟที่มองเห็นในระยะไกลสวยงามเหมือนน้องเมียที่ดูได้แต่ตา สัมผัสไม่ได้ 555 ตาดฟานถือเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในแขวงจำปาสัก เรียกอีกชื่อว่าน้ำตกดงหัวสาว (ฟาน แปลว่า เก้ง) จุดเด่นอยู่ตรงสายน้ำ 2 สายที่ไหลลงจากหน้าผาสูงราว 120 เมตร โดยสายน้ำทางซ้ายมือไหลมาจากห้วยผักกูด และทางขวามือเป็นสายน้ำที่ไหลมาจากอุทยานแห่งชาติดงหัวสาวมีจุดชมวิวที่ตั้งอยู่คนละฟากเขากับตัวน้ำตก ในระดับความสูงเท่ากัน




จบจากตาดฟาน เราก็เดินทางต่อเพื่อไปกินเที่ยงให้ทันที่น้ำตกผาส้วมจริงๆ แล้วคำว่า “ส้วม” หรือ “ส่วม” ออกเสียงในภาษาลาวนั้น หมายถึง “ห้องหอ” หรือ “เรือนหอ” ซึ่งเป็นความงดงามนั่นเองน้ำตกที่ดูจะค่อนข้างแตกต่างจากที่ผ่านๆ มา เพราะดูดิบน้อยกว่าที่อื่นๆ มาก แต่น้ำตกที่นี่ผมว่าสวยไม่แพ้ที่อื่นเลยทีเดียวซึ่งตามประวัติ สถานที่แห่งนี้เมื่อปี พ.ศ. 2539 คุณวิมล กิจบำรุง (นักธุรกิจชาวไทยซึ่งเป็นชาวนครปฐม) ได้เข้ามาพัฒนาธุรกิจท่องเที่ยวใน ส.ป.ป.ลาวและได้ใช้เวลาออกแบบกว่า 2 ปี ในการก่อสร้างและได้รับอนุญาตให้เริ่มก่อสร้างได้ในปี พ.ศ. 2542 โดยใช้แรงงานท้องถิ่นเรากินข้าวกันเสร็จ เราก็เดินชมหมู่บ้านชาวเขาที่เค้าจัดแสดงให้ชมกันเล็กน้อยพอได้รูปแบบเปียกๆ กันพองามเพราะฝนตก ก็เป็นอันว่าจบทริปปากเซที่น้ำตกผาส้วมอย่างสมบูรณ์








=============================================================================

ห้ามนำภาพหรือบทความนี้ไปเผยแพร่ก่อนได้รับการอนุญาตจากเจ้าของบทความและเว็บไซต์ travel.mthai.com
=============================================================================