เมืองจีนครั้งนี้ไม่เหมือนที่คิดไว้!
คุนหมิง ต้าหลี่ ลี่เจียง
ถ้าพูดถึง “ประเทศจีน” ภาพแรกในหัวที่ปรี๊ด! ขึ้นมาเลยก็คือ พฤติกรรม ห้องน้ำ การกิน ที่ได้ยินเสียงเล่าลือกันอยู่บ่อยๆ ว่ามันไม่โอเค๊ โอเคเอาซะเลย ซึ่งคราวนี้ Travel.Mthai.com ได้มีโอกาสบินลัดฟ้าไปเที่ยวเมืองจีน 5 วัน 4 คืน ที่มณฑลยูนนาน ถึง 4 เมืองด้วยกัน คือ คุนหมิง ต้าหลี่ ลี่เจียง และฉู่ฉง โดยสายการบินแอร์เอเชีย .. บินตรงสู่จีนมากที่สุด ไปจีนไปกับแอร์เอเชีย ^^
แว๊บแรกก็กลัวว่าเราจะเจอสิ่งที่เราคิดพวกนั้นไหม แต่พอได้ไปสัมผัสจริงๆ โอ้โห.. คือดีมาก ประทับใจมาก (อาจจะเจอพฤติกรรรมไม่ดีนิดหน่อย ข้ามไปละกัน >,<) และเด็ดสุดของการท่องเที่ยวในครั้งนี้ก็คือ ภูเขาหิมะมังกรหยก เรียกได้ว่าเป็น Dream Destination ของใครหลายๆ คนเลยล่ะ … มาท่องเที่ยวไปพร้อมๆ กันเลย
สนามบินนานาชาติฉางสุ่ย
(Kunming Changshui International Airport)
เรานั่งสายการบินแอร์เอเชีย จากสนามบินดอนเมือง มาลงที่ สนามบินนานาชาติฉางสุ่ย (Kunming Changshui International Airport) เป็นสนามบินแห่งใหม่ ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของจีน ตั้งอยู่ในเมืองคุนหมิง สร้างขึ้นมาแทนสนามบินเก่า อูเจียปา (Wujiaba) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า ..
สนามบินฉางสุ่ยตั้ง อยู่ห่างจากตัวเมืองคุนหมิง 25 กิโลเมตร การเดินทางก็สะดวก มีรถรับส่งหลายแบบ ทั้ง รถบัส(สีเหลือง) ของสนามบินให้บริการรับ-ส่ง จากสนามบินกับในตัวเมือง ค่าบริการ 25 หยวน , รถบัสสีขาว ค่าบริการ 13 หยวน และกำลังสร้าง BTS-รถไฟใต้ดิน วิ่งเข้าตัวเมือง รอกันอีกนิด
ข้อที่ควรรู้ : การมาเที่ยวประเทศจีนนั้น อาหารการกินในแต่ละเมือง แต่ละมณฑลจะไม่เหมือนกัน วัฒนธรรมและประเพณีต่างๆ ก็ไม่เหมือนกัน รวมถึงนิสัยและพฤติกรรมด้วย เช่น ชอบพูดเสียงดัง คากเสมหะหรือน้ำลาย และการเข้าห้องน้ำ(เจอมาแล้ว 555) มีปะปนกันไป เพราะฉะนั้นทำใจกันด้วยนะ
และการมาเที่ยวเมืองจีน คนจีนส่วนมากไม่พูดภาษาอังกฤษ ควรจะพกเพื่อนที่พูดภาษาจีนได้ติดตัวมาด้วย หรือไม่ก็หาไกด์สักคน คอยพาเที่ยวและสื่อสาร ไม่เช่นนั้นการเที่ยวเมืองจีนของคุณในครั้งนี้ปวดกะบาลแน่ๆ >,<
นี่ๆ “อาหม่ำ” ไกด์ของเราตลอดทริปนี้ อาหม่ำพูดไทยได้ อาหม่ำเป็นคนตลก 555
นครคุนหมิง (Kunming)
เมืองแรกที่เรามาก็คือ คุนหมิง เป็นเมืองหลวงของมณฑลยูนนาน ตั้งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน อยู่บนความสูง 1,890 เหนือน้ำทะเล พื้นที่ส่วนใหญ่ของมณฑลยูนนานนั้นเป็นภูเขา เกือบ 90% นอกจากนั้นก็เป็นพื้นที่ราบสูงและลุ่มน้ำ สภาพอากาศจะอบอุ่นตลอดทั้งปี แต่วันที่เราไปอากาศเย็นสบาย อยู่ที่ 21 องศา มีลมพัดหนาวไปอีก
เมืองคุนหมิงถูกขนานนามว่า “นครแห่งฤดูใบไม้ผลิ” ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะมีดอกไม้ ต้นไม้หลากสีสันเต็มไปหมด และยิ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ทั้งเมืองจะเต็มไปด้วยต้นซากุระสีชมพู
.
ตำหนักทอง หรือ ตำหนักจินเตี้ยน (金殿)
สถานที่ห้ามพลาดเมื่อมาเมืองคุนหมิง! ตำหนักทอง ตั้งอยู่บนภูเขา อยู่ตรงจุดร่ำรวยที่สุดของเมืองคุนหมิง ห่างจากตัวเมืองไม่มากนัก ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง และได้รับการบูรณะโดยอ๋อง หวูซันกุ้ย ผู้ปกครองดินแดนแถบนี้ในสมัยราชวงศ์ชิง
ด้านหน้าทางเข้าตำหนักทอง หากขับรถส่วนตัวมาเอง ก็สามารถขับขึ้นไปจอดทางด้านบนได้เลย แต่เรามารถบัสกัน เพราะฉะนั้นก็ต้องจอดด้านล่าง ได้เวลาออกกำลังขากันแล้ว ..
ทางเดินขึ้นไปยังตำหนักทองจะเป็นทางชัน(ไม่มาก) ไม่ไกลมาก เดินสบายๆ แป๊บเดียวก็ถึง แต่ถ้าใครเดินไม่ไหว ที่นี่ก็มีรถบัสให้บริการนะคะ เสียค่าบริการนิดหน่อย
เดินขึ้นมาเราก็จะเจอกับประตู กำแพงแรก แวะถ่ายรูปเช็คอินกันด้านหน้าได้เลยจ้า .. และพอเดินเข้าข้างในก็จะมีซุ้มประตูอีก 2 ซุ้ม กว่าจะไปถึงตำหนักทอง
ซุ้มต้นไม้ตามทางเดินยาวที่เราเห็นนี้ ในอีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะมีดอกซากุระสีชมพูบานสะพรั่ง ซึ่งเรามาเร็วไปเลยอดเห็นซะนี่ ฮือ … แต่ไม่เป็นไร เพราะช่วงนี้ก็เป็นเทศกาลดอกคามิเลีย มีให้ชมหลายสีหลายสายพันธุ์เลย
เมื่อผ่านซุ้มประตูที่ 3 เข้ามาแล้ว ก็จะเจอ ตำหนักทอง สร้างด้วยทองเหลืองทั้งหลัง! น้ำหนักประมาณ 250 ตัน มีความสูง 6.7 เมตร กว้างและยาว 6. 2 เมตร ซึ่งตำหนักทองนี้เป็นสิ่งปลูกสร้างทองเหลืองที่ใหญ่ที่สุดของจีน อีกทั้งมีกำแพงและป้อมล้อมรอบตำหนักเสมือนกำแพงที่ล้อมรอบเมืองด้วย
ด้านบนตำหนักทอง จะเป็นที่ตั้งของเทพเจ้า ที่ ผู้คนนิยมมากราบไหว้ และขอพรกันเป็นจำนวนมาก ทั้งเรื่องสุขภาพ อายุยืน และเรื่องการเรียน
หลังจากไหว้เสร็จแล้วก็ต้องมาถูที่ประตูด้านข้างตำหนักด้วย เชื่อกันว่า จะให้พรเรื่องสุขภาพ อายุยืน ดูจากรอยถูเอา 5555 เงาวั๊บเลย >,<
หลังจากไหว้เทพเจ้า ขอพรกันไปแล้ว ก็เดินมาทางซ้ายมือของตำหนักทอง จะเป็นทางเดินไปยังศาลาที่เก็บประวัติความเป็นมาของที่แห่งนี้ พร้อมด้วย กระบี่เจ็ดดาว น้ำหนัก 12 กิโลกรัม และดาบกายสิทธ์ น้ำหนัก 20 กิโลกรัม เชื่อกันว่าทั้งสองนี้เป็นอาวุธประจำกายของ อ๋อง หวูซันกุ้ย .. กระบี่และดาบหนักและใหญ่ขนาดนี้ คิดดูว่าในอดีตคนจะต้องตัวใหญ่และมีพละกำลังมากขนาดไหน
ดาบกายสิทธ์
กระบี่เจ็ดดาว
อีกหนึ่งสถานที่ที่ผู้คนจะมาขอพรเรื่องการงาน ขอให้ประสบผลสำเร็จ ^^
ภายในบริเวณ ตำหนักทอง ก็มีสวนดอกไม้ ตอนนี้เป็นเทศกาลดอกคามิเลีย มีหลากหลายสี หลากหลายสายพันธุ์ เปิดให้ได้ชมกัน
.
วัดหยวนทง
สิ่งแรกที่ได้ยินจากไกด์สุดหล่อของเราก็คือ “วัดนี้เป็นวัดเล็กๆ และมีอายุเก่าแก่ที่สุดในเมือง” ภาพในหัวเราผุดขึ้นมาทันทีว่าน่าจะคล้ายๆ กับวัดเล่งเน่ยยี่ ย่านเยาวราช ประมาณนั้น เห็นด้านหน้าวัดไม่เท่าไหร่ แต่พอเดินเข้าไปเท่านั้นแหละ โอ้โห! ไกด์ค่ะ มันไม่เล็กแล้วค่ะ
วัดหยวนทง เป็นวัดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในเมืองคุนหมิง สร้างมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง มีอายุกว่า 1,200 ปี ซึ่งวัดนี้เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาถึง 3 นิกาย ผสมผสานทั้งวัดไทย พม่า และจีน (ธิเบต) ตำหนักทองตั้งอยู่ในจุดร่ำรวยของคุนหมิง วัดหยวนทงก็ตั้งอยู่ในจุดอำนาจของเมืองเหมือนกัน ชื่อวัดก็มาจากชื่อของเจ้าแม่กวนอิม
ส่วนใหญ่วัดของจีนจะสร้างอยู่บนภูเขา แต่วัดหยวนทงนี้จะสร้างอยู่ต่ำกว่า ก็เพราะในตอนแรกเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแม่กวนอิมมาก่อน สร้างในสมัยราชวงศ์ถัง แต่ถูกทำลายในสมัยราชวงศ์หมิง และได้รับการบูรณะใหม่โดยอู๋ซานกุ้ย ราชวงศ์ชิง ในสมัยที่ยังปกครองที่คุนหมิงนั่นเอง จะเห็นได้ว่าศิลปะและการตกแต่งต่างๆ จะคล้ายกับราชวงศ์ชิงในปัจจุบัน
เมื่อเข้ามาแล้ว ก็จะเจอกับ “ปี่ซี่” ลูกมังกร อยู่ 2 ตัว ด้านซ้ายและขวา คนที่มาทำบุญก็จะมาขอพรแล้วลูบบริเวณจมูกของปี่ซี่ แต่เรานั้นด้วยความโลภมาก ใช้สองมือที่มีลูบทั่วหัว ทั่วปากเลย เอื้อมได้เยอะก็ลูบได้เยอะ ฮ่าๆๆๆ
เมื่อเดินเข้ามาข้างในก็จะเจอกับประตูนี้ ซึ่งเป็นประตูอายุเก่าแก่ จะมีซากประตูเดิมหลงเหลืออยู่ และถูกซ่อมแซมจนอยู่ในสภาพสมบูรณ์อย่างที่เราเห็นตอนนี้ สวยมากๆ
เข้ามาข้างในแล้ว เราก็จะพบกับวิหารแรก เป็นวิหารที่ประดิษฐาน พระสังกัจจายน์
การไหว้เทพเจ้าของคนจีนนั้นจะไหว้ด้วยกันทั้งหมด 4 ทิศ คือ ทิศเหนือเกี่ยวกับพ่อแม่ ทิศใต้เกี่ยวกับครอบครัว ทิศตะวันออกเกี่ยวกับครู และทิศตะวันตกเกี่ยวกับเพื่อนฝูง
ธูป-เทียน จะตั้งอยู่ตรงทางเข้าในวัดนะคะ ให้หยิบมาก่อนเลย เพราะไม่งั้นได้เดินกันไปหน้าวัดยาวๆ เสียเวลาไปอีก .. เราก็ทำการจุดเทียนปักตรงที่ที่เตรียมไว้ หลังจากนั้นก็จุดธูป แล้วมายืนไหว้ให้ครบทั้ง 4 ทิศค่ะ
พระสังกัจจายน์ โดยปกติเราคุ้นชินกับร่างอ้วน พุงพลุ้ย แต่องค์นี้เป็นร่างผอม
เดินมาทางด้านหลังของวิหาร ก็จะพบกับองค์เทพ “อุยโถว” ดูแลความปลอดภัยของวัด โดยเทพอุยโถวจะหันหน้าไปทางวิหารใหญ่
ถัดมาเราก็จะเจอกับ ศาลาแปดเหลี่ยม ตั้งอยู่กลางสระน้ำมรกต ภายในจะเป็นที่ประดิษฐานขององค์เจ้าแม่กวนอิมพันมือ และเจ้าแม่กวนอิมพม่า ส่วนใหญ่การขอพรที่เห็นผลที่สุดก็คือ 1. คนไม่มีลูก มาขอลูก 2. คนไม่มีแฟน มาขอแฟน ก็จะได้สมใจหวัง >,<
เดินถัดมาจาก ศาลาแปดเหลี่ยม ที่ประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิม ก็จะพบกับวิหารใหญ่ที่ประดิษฐานพระพุทธเจ้า 3 องค์ คือในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ตามความเชื่อของพุทธนิกายมหายาน
เริ่มไหว้จากตรงกลาง ซ้าย และขวา เราสังเกตุว่าเวลาคนจีนไหว้นั้นจะไม่เหมือนคนไทย ปกติเราจะไหว้พระแบบคว่ำมือลง และคนจีนจะไหว้แบบหงายมือ เหมือนไหว้ขอพรเสร็จก็รับพรเข้าตัว
จากนั้นเดินอ้อมมาทางด้านหลังของวิหารใหญ่ ก็จะพบกับวิหารหลังสีขาว ภายในประดิษฐาน “พระพุทธชินราช” องค์จำลองมาจากจังหวัดพิษณุโลก รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานให้อัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดหยวนทงแห่งนี้ เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี ไทย-จีน นับเป็นพระพุทธรูปองค์แรกของไทยที่มาตั้งอยู่ในเมืองจีน
เดินข้างในบริเวณวัดก็เห็นต้น ซากุระ แว๊บๆ กำลังออกดอกสีชมพูสวยเลย ^^
วัดหยวนทง นั้นถือว่ามีความสำคัญมากๆ ในปัจจุบันวัดในเมืองส่วนมากจะถูกทุบทิ้งไปเกือบหมดแล้ว เพราะรัฐบาลจะนำที่ดินไปสร้างคอนโด ไปขาย แล้วไปสร้างวัดจำลองขึ้นที่แถวชานเมืองแทน แต่ยังไงมันก็ไม่สู้ของเดิมไหมอ่ะ >,< เสียดายจัง
ต้าหลี่ (Dali)
จากเมืองคุนหมิง เราออกเดินทางกันยาวๆ เกือบ 6 ชั่วโมง เพื่อมายังเมืองต้าหลี่ (ระหว่างทางเราก็แวะทานข้าวกันที่เมืองฉู่ฉง) การเดินทางนั้นไม่น่ากลัวเลย เส้นทางที่วิ่งเป็นทางด่วนสร้างใหม่ และรถบัสที่เรานั่งมานั้นจำกัดความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถ้าเกินกว่านี้ถูกปรับนะจ๊ะ เพราะฉะนั้นหลับได้ยาวๆ เรามาถึงประมาณ 3 ทุ่มแล้ว ก็ขอนอนเอาแรงซะก่อน เช้าอีกวันเราก็เดินทางไปยัง เมืองโบราณต้าลี่ กัน!
ต้าหลี่ (Dali) เป็นเมืองหลวงของเขตปกครองตนเองชนชาติไป๋ ตั้งอยู่ในมณฑลยูนนาน อยู่บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 2100 เมตร อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี มีเทือกเขาชางซานและทะเลสาบเอ๋อไห่ล้อมรอบ
ตอนเช้าเราออกเดินทางจากโรงแรม เพื่อเดินทางไปยัง เมืองโบราณต้าหลี่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาทีก็ถึงแล้ว ซึ่งระหว่างทางเราก็ได้ชมเมืองต้าลี่ เห็นวิวสวยๆ ของเทือกเขาชางซาน ที่อยู่ล้อมรอบเหมือนเป็นกำแพงป้องกันเมือง
บริเวณใกล้ๆ ที่เราจอดรถ จะเป็นถนนใหญ่ บ้านเรือนเรียงเป็นระเบียบ สะอาด และเงียบสงบมาก และอากาศตอนเช้าก็หนาวมว๊าก! 6 องศาเอง ใครอยากเที่ยวชมรอบเมือง ที่นี่ก็มีให้เช่ามอเตอร์ไซค์ หรือรถยนต์จิ๋ว
ตอนเช้าๆ น้องหมาก็มาออกกำลังกาย วัยกำลังซน ^^
มีร้านอาหาร ขายตอนเช้าๆ ด้วย หิวก็แวะกินได้เลย ..
.
เมืองโบราณต้าหลี่
เป็นเมืองเก่าแก่แห่งหนึ่งของประเทศจีน อายุกว่า 1,000 ปีแล้ว เป็นมรดกที่ตกทอดมาจากอาณาจักรน่านเจ้า แต่สภาพถือได้ว่าสมบูรณ์มากทีเดียว เมืองโบราณไม่เล็กและไม่ใหญ่มาก ทางด้านหน้าจะเป็นซุ้มประตูกำแพงใหญ่ มีกำแพงล้อมรอบเมือง
ทางด้านหน้าของเมืองโบราณต้าหลี่ ฝั่งตรงข้ามก็เป็นถนนคนเดิน มีของขายเหมือนกัน และใครอยากเช่าชุดประจำถิ่นใส่ ด้านหน้าทางเข้าก็มีร้านอยู่ เข้าไปเลือกกันได้เลย
ด้านหน้าทางเข้าจะมีพ่อค้า แม่ค้า ขายของกันเยอะเลย นี่ก็เป็นมงกุฏดอกไม้ ^^
ป่ะ! ซื้อตั๋วแล้ว เข้าไปข้างในกัน .. บอกไว้นิดนึงว่า ไม่ว่าเราจะเข้าสถานที่เที่ยวไหนก็ตาม ทุกที่เสียค่าเข้าหมด รวมถึงวัดด้วย ไม่มีคำว่า “ฟรี” นะคะทุกคน ทางด่วนทุกด่าน ก็เช่นกัน เสียเงินทุกด่าน
เราเดินขึ้นไปทางด้านบนของกำแพง ก็จะมองเห็นวิวรอบๆ บริเวณทั่วทุกทิศ ด้านหนึ่งของเมืองโบราณจะเป็นทางเดินทอดยาวไปทางทือกเขาชางซานที่สูงประมาณ 4,000 เมตร เดินไปอีกฝั่งก็จะเห็นถนนคนเดินทอดยาวสุดสายตา
สูดอากาศ เก็บภาพบรรยากาศด้านบนกันไปแล้ว ตอนนี้ได้เวลา ตะลุยถนนคนเดินถนนคนเดินกันดีกว่า
ถนนคนเดิน มีของขายหลากหลาย ทั้งของกิน และของจุกจิก เสื้อผ้า ของแฮนด์เมดของกลุ่มชนเผ่า เป็นต้น แต่มีอยู่ 3-4 ร้านที่เราสะดุดตาก็คือ ขนมหน้าตาแปลกๆ เหมือนแป้งโรตีม้วนแล้วเอาไปย่างให้กรอบ แต่มันไม่ใช่! มันคือ ชีสย่าง รสชาติจืด เปรี้ยวๆ เดี๊ยนไม่ชอบสักเท่าไหร่ ราคาไม้ละ 5 หยวน
ร้านน้ำผลไม้ปั่น สะดุดตรงที่มีชื่อภาษาไทย 555 คือ ร้านบ้ามะม่วง กับ ร้านฉันยุ่งมาก (ร้านนี้มีหลายสาขา หลายเมือง) ไม่รู้ว่าอร่อยไหม แต่หน้าตาน่าทานทีเดียว
ร้านขาย “น้ำกะทิ” มันคือน้ำกะทิมะพร้าว สีขาวๆ ข้นๆ ที่บ้านเราเอามาทำกับข้าว แต่ที่นี่เขานำมาต้มแล้วทานกันเลย OMG นอกจากนี้ก็จะมีขายน้ำอ้อยคั้นสดๆ ต้นใหญ่เว่อร์!
ของขายยอดฮิตของยูนนาน (เพราะเห็นมีขายแทบทุกที่จริงๆ) ก็คือ ขนมเปี๊ยะไส้กุกลาบ ของแปลกมาอีกแล้ว ตอนเราเดินผ่านร้าน แม่ค้าก็ตัดมาให้ชิม เราก็อยากถามนะว่านี่ไว้กุหลาบรึเปล่า แต่เขาไม่พูดภาษาอังกฤษ จีนเราก็พูดไม่ได้ สุดท้ายคือใช้ภาษาใบ้ จนเข้าใจว่ามันคือ ขนมเปี๊ยะไส้กุกลาบ ตอนแรกกินเข้าไปก็แปลกๆ นะ แต่ก็รสชาติอร่อยดี ไม่หวานเลี่ยนเกินไป อันนี้เราก็ซื้อกลับบ้านเป็นของฝากที่บ้านและเพื่อนๆ ด้วย ^^ และที่นี่ก็จะมีร้านขายผลไม้ ที่เห็นนิยมมากก็จะเป็น มะม่วงสุก ทุเรียน ผลไม้บ้านเรานี่ฮิตในจริงๆ
ของกินก็มีพอสมควร ทั้งของคาว ของหวาน ..
อันนี้เขากำลังทำขนมตุ๊บตับ
นี่จะเป็นเนื้อไก่ ปลาหมึก บลาๆๆ ทอดแล้วเอามาราดน้ำจิ้ม
บรรยากาศรอบๆ เมืองโบราณต้าหลี่ สองข้างทางก็จะเป็นเหมือนชุมชนจีนโบราณ ..
.
หมู่บ้านชาวไป๋
เราออกจากเมืองโบราณต้าลี่ มาชม หมู่บ้านสี่โจว เป็นหมู่บ้านของชาวไป๋ ภายในจะเป็นบ้านเรือนแบบดั้งเดิม บางหลังก็เปลี่ยนเป็น พิพิธภัณฑ์ ร้านค้า ขายสมุนไพร และผลไม้ รวมถึงของชื่อดังอย่างผ้ามัดย้อม และของที่ระลึกต่างๆ
ดูโชว์ชา 3 จอก ประมาณ 20 นาที ในโชว์ของชาวไป๋นั้น ชาวบ้านจะใส่นชุดประจำชาติ เสื้อผ้าท้องถิ่นที่รวม 4 สิ่งเอาไว้บอกเล่าเรื่องราวของชนเผ่าก็คือ สายลม ดอกไม้ หิมะ แสงจันทร์
ชาวไป๋ มีประเพณีก็คือการชงชาให้ผู้มาเยือนดื่ม ไม่ว่าบ้านฐานะใดก็ตามก็จะมีการชงชาให้ดื่มแทบทั้งนั้น และการชงชานั้นไม่ไช่ดื่มเพียงจอกเดียวแล้วจบ ต้องดื่มให้ครบ 3 จอกด้วย! คือ จอกขม จอกหวาน ชาทบทวน (ไม่แน่ใจเรียกแบบนี้รึเปล่า)
- จอกที่ 1 ชาขม เอาชาเขียว คั่วให้ไหม้ น้ำไปต้ม แล้วชงออกมา รสชาติออกขม
- จอกที่ 2 ชาหวาน ใส่วอลนัด น้ำผึ้ง ชีส คือรสชาติหวานมากๆ ถ้าใครชอบทานชาหวานคงจะชอบ
- จอกที่ 3 ชาทบทวน ใส่มุนไพรหลายชนิดหลายอย่างรวมกัน รสชาติจืด
หลังจากดูโชว์จบ ก็เดินชมบ้านชาวไป๋ เป็นบ้านหลังใหญ่จะอยู่กันเป็นครอบครัว ถ้าในครอบครัวแต่งงานหรือมีครอบครัวเพิ่ม ก็สร้างบ้านในบริเวณขยายใหญ่ไปเรื่อยๆ ปัจจุบันก็ยังอยู่อาศัย แล้วก็เปิดให้เข้าชมด้วย ข้างในก็จะแสดงให้เราเห็นถึงการเป็นอยู่และวิถีชีวิต
รถม้าลาก ^^
ที่นี่จะทำอาชีพเกษตรกรกันเยอะ ที่เห็นได้ชัดก็คือ ปลูกดอกคามิเลีย ปลูกเป็นหมู่บ้านกันเลยทีเดียว และ ปลูกดอกมัสตาร์ด ซึ่งดอกมัสตาร์ดเนี่ย จะบานเพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น ช่วงกลางเดือน ก.พ. พอร่วงแล้วจะมีเม็ดเล็กๆ เหมือนถั่วลันเตา เขาจะเอาไปสกัดทำเป็นน้ำมันพืช
โรงแรม Zmax Hotel
Zmax Hotel เป็นโรงแรมใหม่ ตั้งอยู่ในเมืองต้าหลี่ ห้องสะอาด กว้างขวาง เตียงนุ่ม กลิ่นยังใหม่อยู่เลย ใครมาพักเมืองนี้แนะนำที่นี่เลยค่ะ
หลังเที่ยวเมืองต้าลี่แล้ว จะเดินทางไป เมืองลี่เจียง กันต่อ เมืองนี้เป็นเมือง Dream Destination ของเรา ^^ เมื่อก่อนวิ่งต้าลี่-ลี่เจียง ใช้เวลาถึง 7 ชม. แต่เดี๋ยวนี้วิ่งประมาณ 3 ชม. เท่านั้น เพราะวิ่งทางด่านระดับประเทศ ระหว่างทางเราก็จะเห็นวิวบ้านเมือง ทิวเขา ธรรมชาติ คือมองนานๆ ก็ไม่เบื่อ เห็นวิวบ้านที่ตั้งอยู่ล้อมรอบด้วยภูเขา บ้านสร้างขึ้นไปตามแนวของภูเขา
ไกด์บอกว่า ถ้าช่วงฤดูใบไม้ผลิ ทางด่วนระหว่างเมืองต้าหลี่เข้าลี่เจียง จะมีดอกซากุระบานเป็นสีชมพูทั้งเส้น ระยะทาง 340 กิโล ซึ่งดอกซากุระจะบานหลังจากที่เรามาประมาณ 2 อาทิตย์ เสียดายจัง ไม่ได้เห็นเลย >,<
ลี่เจียง (Lijiang)
ตอนนี้เราขึ้นมาอยู่บนระดับความสูง 2,400 เมตรแล้ว เมืองเดินทางเข้ามายังเมืองลี่เจียงก็จะต้องผ่านด่านเข้าเมืองตรงนี้ซะก่อน ซึ่งมีจุดให้ถ่ายรูปเช็คอินกันด้วย นักท่องเที่ยวก็เยอะพอสมควรเลย ด้านหลังแลนด์มาร์กเมืองลี่เจียง ตรงนู้น .. จะเป็นภูเขาหิมะมังกรหยก ที่เราจะขึ้นไปกันพรุ่งนี้ ยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น ^^
หากใครไม่มีแพลนเที่ยวคุนหมิง และไม่อยากนั่งรถจากคุนหมิงมาลี่เจียง ซึ่งใช้ระยะเวลานาน ก็สามารถนั่งเครื่องบินมาลงลี่เจียงได้เลย ที่เมืองนี้ก็มีสนามบิน มีรอบบินภายในประเทศก็สะดวกและประหยัดเวลาไปได้เยอะเหมือนกันค่ะ ในเมืองก็เดินทางสะดวกสบาย เพราะมีรถไฟใต้ดิน ร้านค้า ร้านเสื้อผ้าแบรนด์ก็มีให้เลือกเยอะกว่า
รอบๆ บริเวณนี้ นอกจากจะมีคนมาถ่ายรูปกันแล้ว ก็นิยมมาผูกป้ายขอโชคขอพรกันด้วย
ไปไหนก็เห็นแทบทุกที่เลยล่ะ ..
จามรี สัตว์ขึ้นชื่อของที่นี่ ทั้งเลี้ยง ทั้งกิน ทุกส่วนของร่างกายสารพัดประโยชน์ ..
.
เมืองโบราณลี่เจียง เมืองมรดกโลก
กังหันน้ำ อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองลี่เจียง
ลี่เจียง เป็นเมืองยอดฮิตของนักท่องเที่ยว มีชื่อเสียงมายาวนาน มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 800 ปี ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก และยังได้รับการขนานนามว่าเป็นเมือง “เวนิสแห่งตะวันออก” ที่นี่เราจะได้เห็นนักท่องเที่ยวหลายสัญชาติเลย ซึ่งต่างจากเมืองต้าหลี่ที่เราไปมาเลยล่ะ รวมถึงที่เที่ยวหลายที่ อาทิ ร้านค้า เสื้อผ้าแบรนด์เนม ของแฟชั่นต่างๆ และ เมืองโบราณ ด้วย
เมืองโบราณลี่เจียง ตั้งแต่ทางเข้าด้านหน้านั้นเราจะได้เห็นถึงเอกลักษณ์และมนต์เสน่ห์ของเมือง ยิ่งเดินเข้าไปด้านในยิ่งทำให้รู้สึกประทับใจ ทั้งสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากเมืองอื่น บ้านที่นี่จะสร้างด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ พื้นปูด้วยหิน (เดินไปนานๆ เจ็บเท้าเหมือนกัน >,<) ที่นี่ยังได้รับคัดเลือกให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวดีเด่นทางวัฒนธรรมจีนด้วย
ร้านขายของที่ระลึกก็มีขายอยู่ตามถนน
ด้านในของ เมืองโบราณลี่เจียง ตลอดสองข้างทางจะมีร้านค้าตั้งเรียงราย เมืองโบราณที่นี่ใหญ่และกว้างมาก (21,219 ตารางกิโลเมตร) มากกว่าเมืองต้าหลี่หลายเท่า ตรอกซอกซอยเยอะสุดๆ มีทางน้ำใสไหลผ่านเข้าในเมือง และเมืองโบราณลี่เจียงไม่มีกำแพงเมือง เพราะผู้นำเชื่อว่าถ้าสร้างกำแพงเข้าไป ความหมายจะเปลี่ยนไป กลายเป็นความหมายที่ไม่ดี ฮวงจุ้ยก็ไม่ดี
เพราะฉะนั้นการเดินเล่นใน เมืองโบราณลี่เจียง นั้นถ้าไม่อยากหลงทาง ต้องเดินตามแนวน้ำไหล หรือ เข้าทางไหนออกทางนั้น เพราะไม่อย่างนั้นเราจะไปโผล่ทางด้านไหนของเมืองก็ไม่รู้
แผนที่ เมืองโบราณลี่เจียง .. งงไปดิ
แต่ละตรอก แต่ละซอยนั้น ดีงามพระราม 8 มาก! มีมุมถ่ายรูปสวยๆ ทั้งนั้นเลย
ร้านขนมปังหน้าชีส น่ากินเว่อร์!
ร้านกาแฟ ในเมืองโบราณนี้ก็มีเยอะเหมือนกัน บรรยากาศดี เหมาะกับการนั่งชิล
ตรงนี้คือ ตลาดสี่เหลี่ยม “ซื่อฟางเจีย” เส้นหลักของทุกซอยจะมาเจอกันตรงกลางนี้
มีการแสดงท้องถิ่นให้ชมกันด้วย
เรากำลังเดินขึ้นไปบนจุดชมวิวของเมืองกันค่ะ
สองข้างทางก็มีบ้านเรือน ร้านค้า สร้างขึ้นไปตามแนวภูเขา
ไม่แน่ใจว่าเดินขึ้นมากี่กิโล แต่พอขึ้นมาก็ได้เห็นวิว เมืองโบราณลี่เจียง ประมาณนี้
บ้านเรือนสมัยเก่า มีกระเบื้องมุมหลังคาแบบดั้งเดิม จี๊นจีน ..
ข้างบนนี้ก็มีร้านกาแฟตั้งอยู่ เห็นวิวภูเขาหิมะมังกรหยกด้านหลัง ^^
(รู้สึกเหมือนโดนคู่รักแย่งซีน 555)
ร้านขายโคมไฟ หนังสือ ทำมาจากกระดาษสา .. ส่วนมากร้านค้าที่นี่จะไม่มีถุงใส่ให้ เขารณรงค์ลดโลกร้อนกันอยู่ เพราะฉะนั้นใครคิดจะมาช้อปปิ้ง เตรียมกระเป๋าให้พร้อมนะคะ
ไอศกรีมสตอเบอร์รี่ ถ้วยนี้ 60 กว่าหยวน แพงนะเนี่ย!
ลงมาเดินเล่นกันต่อในเมือง หาของอร่อยๆ กินกัน .. มาเดินเที่ยวที่นี่ไม่ต้องกลัวจะอดตาย ร้านค้าเยอะมากๆ ตลอดทางเดินเลยล่ะ ช่วงเย็นๆ ยาวไปถึงเกือบเที่ยงคืน จะมีนักท่องเที่ยว และผู้คนมานั่งแฮงค์เอ้าท์ ชิลๆ ดื่มเบียร์กัน ก็บรรยากาศมันพาเพลิน
ไอศกรีมแท่งพวกนี้ สีสันดึงดูดเรามาก..
สระน้ำมังกรดำ (Black Dragon Pool)
เที่ยวเมืองโบราณลี่เจียงเสร็จ เราก็เดินไปชม สระน้ำมังกรดำ (Heillongtan, Black Dragon Pool) กันต่อ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองโบราณลี่เจียงไปเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น เดินเล่นได้เลยชิลๆ ทางระหว่างเดินก็จะมีแม่น้ำสายเล็กๆ ไหลผ่าน มีผู้คนเดินไปมา หรือนั่งเล่นกันตลอดแนวนี้
สระน้ำมังกรดำ หรือ เฮยหลงถัน ตั้งอยู่ในสวนยู้วฉวน (Yuquan) สวนสาธารณะขนาดใหญ่ในเมืองลี่เจียง (11,390 ตารางเมตร) สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง (แมนจู) เมื่อปี ค.ศ. 1737 จุดเด่นของสระน้ำมังกรดำก็คือ น้ำที่ใสเหมือนมรกต และตอนเช้าแสงอาทิตย์จะส่องลงมาในน้ำ เงาของภูเขาและต้นไม้สะท้อนออกมาคล้ายรูปร่างของมังกร
จากที่เราเดินชมรอบๆ สระน้ำมังกรดำ ก็จะสังเกตุเห็นสถาปัตยกรรมสวยๆ แปลกตาอยู่หลายอย่าง เป็นการผสมผสานวัฒนธรรมของชาวฮั่น ทิเบต และน่าซี ไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ภายในสวนก็ยังมี พิพิธภัณฑ์ศิลปะตงปา ลักษณะคล้ายกับอักษร Hieroglyphics ของอียิปต์ ให้ชมค่ะ
.
ภูเขาหิมะมังกรหยก
(Jade Dragon Snow Mountain)
เช้าวันใหม่! เราตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปยัง ภูเขาหิมะมังกรหยก ใช้เวลาเดินทางไม่นาน… ภูเขาหิมะมังกรหยก ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเก่าลี่เจียง ข้างบนจะมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี
ที่เรียกกันว่าภูเขาหิมะมังกร ก็เพราะมียอดเขา 13 ยอดเรียงต่อกัน คล้ายรูปร่างของมังกร และมีหิมะปกคลุมนั่นเอง จุดที่สูงที่สุดของ ภูเขาหิมะมังกรหยก คือ 5,596 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
เราเห็นวิวสวยๆ ของภูเขาหิมะ ตลอดทางเลย ^^
เมื่อลงรถปุ๊บเราก็ต้องเดินเข้าไปยังสถานี เพื่อนต่อแถวขึ้นรถบัส ขึ้นไปยังจุดต่อคิวอีกชั้น เพื่อขึ้นกระเช้าไปยังด้านบน ภูเขาหิมะมังกรหยก ภายในสถานีก็จะมีของกิน อุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงกระป๋องออกซิเจนขาย (ราคาข้างบนนี้ค่อนข้างแพง แนะนำให้ซื้อเตรียมมาก่อน)
บริเวณรอบๆ สถานี อันนี้เป็นกระเช้า ที่เราสามารถเข้าไปนั่งเล่นได้
เมื่อเดินเข้ามาข้างใน ก็จะต้องมาเข้าแถว เพื่อเดินไปขึ้นรถบัส แนะนำว่า .. ให้เดินกันเป็นกลุ่ม เดินชิดๆ ติดๆ กัน อย่าเว้นช่องว่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพื้นที่ของเราจะเป็นของคนอื่นแน่นอน! ลุงป้านี่ขยันแทรกกันสุดๆ
ตอนนี้เราอยู่บนความสูง 3,356 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลกันแล้ว ^^ ด่านต่อไปที่เราต้องเจอก็คือ เข้าคิวขึ้นกระเช้า เห็นคนยั้วเยี๊ยะขวามือไหม .. เดินวนกันไปค่ะ
ระหว่างเข้าคิว ก็ดูวิวสวยๆ นี้ไปกันก่อน มันฟินจริงๆ!
จุดต่อคิวขึ้นกระเช้า .. 1 กระเช้า นั่งได้ 8 คน
นั่งกระเช้า ไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ หวาดเสียวมาก >,<
รอบข้างเราเป็นภูเขาหิมะสีขาวทั้งหมดเลย …
เรากำลังถึงสถานีด้านบนกันแล้ว .. ภูเขาหิมะมังกรหยกจ๋า ฉันมาแล้ว!
ในสถานีจะมีอาหาร เครื่องดื่ม และอุปกรณ์ ของที่ระลึกขาย
รวมถึงมีห้องน้ำด้วย สะดวกมากๆ ค่ะ
ภูเขาหิมะมังกรหยก นี่แค่มองจากห้องกระจกในสถานี ยังสวยขนาดนี้เลย ^^
ยังมีหิมะเหลืออยู่ให้เราเห็นกันพอสมควร ขาวจั๊ว …
พอออกมาจากสถานีก็ดังที่ทุกคนเห็นกันนี่แหละ “ภูเขาหิมะมังกรหยก” สวยมาก ก.ไก่ ล้านตัว ด้านบนนู้นยังมองเห็นพระจันทร์(ลางๆ) ด้วย บอกเลยว่าควรมาสักครั้งในชีวิต มันดีงามเกินกว่าจะบรรยายจริงๆ ค่ะ
เดินออกมานอกตัวสถานีก็จะเป็นลานกว้าง ให้เราเดินความสวยงามของทิวเขาได้รอบทิศทาง
ถ่ายพาโนรามาสวยๆ ไปเลย!
ตอนนี้เรายืนอยู่บนความสูง 4506 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ใครขึ้นมาแล้วก็ต้องมาถ่ายรูปกับเสาหินอันนี้ แต่ดูจากภาพแล้ว เราเบียดตัวเข้าไปยากค่ะ 5555 ขอข้ามไปเดินชมภูเขาหิมะดีกว่า ^^
สิ่งที่เราต้องรู้-ต้องเตรียม :
- แนะนำให้มาช่วงเช้าดีกว่า (ขนาดตอนเช้าคนยังเยอะเลย) ส่วนมากก็จะเป็นกรุ๊ปทัวร์ เสื้อแดง เสื้อส้ม นี้เต็มไปหมด
- ข้างบนความกดอากาศจะต่ำมาก ไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคหัวใจ หรือร่างกายไม่แข็งแรง
- บางคนอาจจะมีอาการปวดหัวหรืออาเจียนเมื่อขึ้นที่สูง
- อย่าก้มเงยหน้าเร็วๆ อย่าเดินเร็วหรือวิ่งเร็ว
- เตรียมลูกอมหวานๆ ขึ้นไปด้วย เพราะมันช่วยได้เยอะเลย(สำหรับเรานะ) หรือ พกประป๋องออกซิเจน ส่วนมากจะพกกันแทบทุกคน มี 2 ขนาด เล็กกับใหญ่ ในเมืองลี่เจียงน่าจะมีขายตามร้านค้า ราคาก็แตกต่างกันไป แต่ไม่เกิน 500 บาทไทย
ออกซิเจนกระป๋อง หน้าตาเป็นแบบนี้
เวลาเรารู้สึกหายใจไม่ค่อยออก หรืออึดอัดตัวเอง เจ้าตัวนี้ก็ช่วยให้เราหายใจคล่อง สบายขึ้น
ตัวลามะ ก็มีให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป 10 หยวนแหนะ! แอบถ่ายเอาดีกว่า >,<
จากตรงลาน จะมีสะพานไม้สร้างเป็นทางเดินยาวขึ้นไปทางด้านบนภูเขาหิมะมังกรหยก ข้างบนนั้นความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 5000 เมตรกว่า ซึ่งเรามีเวลาน้อย เลยไม่ได้เดินขึ้นไปทางด้านบน ฮือออ.. เพราะเราต้องเดินไปชมการแสดงโชว์ โชว์จางอี้โหม่ว (IMPRESSION LIJIANG) ว่ากันว่าอลังการงานสร้างสุดๆ!
ช่วงที่เราไปนั้นประมาณเดือนมีนาคม อากาศหนาว แต่ไม่ถึงกับหนาวทรมาน ยังมีหิมะให้เห็นอยู่ และฟ้าสวยใสมากๆ!!!!! ไกด์บอกว่าทริปนี้เราโชคดี เพราะบางกลุ่มมาในช่วงฟ้าปิด เมฆเยอะ หิมะตก ทำให้มองไม่เห็นภูเขา บางกลุ่มขึ้นกระเช้าไม่ได้ด้วยซ้ำ เราแนะนำว่ามาช่วงนี้น่าจะโอเคสุด ^^
โชว์จางอี้โหม่ว
(IMPRESSION LIJIANG)
ภูเขาหิมะมังกรหยก เดินมาไม่ไกลจาก ภูเขาหิมะมังกรหยก ก็จะเป็นสถานที่ดูโชว์ “โชว์จางอี้โหม่ว” หรือ IMPRESSION LIJIANG เป็นการแสดงกลางแจ้ง โดยใช้ชนกลุ่มน้อยชาวน่าชี กว่า 500 คน มาเต้นรำทำการแสดงตลอด 1 ชั่วโมงเต็ม
โดยเวทีการแสดงนั้นจะเป็นฉากสีแดงสด มีภูเขาหิมะมังกรหยกเป็นฉากหลังประกอบการแสดง กำกับการแสดงโดย จางอี้โหมว ผู้กำกับชื่อดังของจีน บอกได้เลยว่าโคตรสวย!
การแสดงจะบอกเล่าเรื่องราวของชนเผา และเกี่ยวโยงกับความเชื่อ ภูเขาหิมะมังกรหยกอันศักดิ์สิทธิ์ เช่น การแสดงให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัว ผู้ชายจะเป็นอิสระมาก กินเหล้า สังสรรค์ เล่นหมากรุก วาดภาพ อ่านหนังสือ เรียกได้ว่าวันๆ ไม่ทำอะไร ต่างจากผู้หญิงที่ต้องมีความเป็นแม่บ้านแม่เรือน และเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนผู้ชายด้วย ต้องทำมาหากินหามรุ่งหามค่ำ , เรื่องราวของรักข้ามเผ่า เมื่อคบกันไม่ได้ก็ลักลอบแอบคบกัน แล้วพากันไปโดดภูเขาหิมะฆ่าตัวตาย ฉากนี้ทำเอาหลายคนน้ำตาไหลเลย เพลงประกอบซึ่งกินใจ >,<
ค่าเข้าชม 10 หยวน มี 3 รอบต่อวัน บรรจุคนดูได้รอบละประมาณ 2,000 คน
ตรงทางเดินออกก็มีวิวสวยๆ เห็นภูเขาหิมะมังกรหยก เหมือนสวิตเซอร์แลนด์ไหมล่ะ!
.
อุทยานน้ำหยก หรือ หมู่บ้านน้ำหยก
เป็นอุทยานเล็กๆ ตั้งอยู่ไม่ห่างจาก ภูเขาหิมะมังกรหยกมากนัก และห่างจากตัวเมืองลี่เจียง 15 กิโลเมตร ที่อุทยานนี้มีทิวทัศน์ที่สวยงามมากๆ ด้านหลังเป็นภูเขาหิมะมังกรหยก ส่วนด้านหน้าอุทยานก็เป็นบ่อน้ำใสเป็นสีเขียวมรกต ซึ่งแหล่งน้ำตรงนี้เป็นต้นกำเนิดในเมืองลี่เจียงด้วย เป็นน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขาหิมะ ต้นไม้ยักษ์อายุกว่าพันปี
ภายในบริเวณจะมีบ่อน้ำเป็นแบบขั้นบันได มีปลาหลายสายพันธุ์
เมื่อเดินขึ้นไปตามทางต้นน้ำ ก็จะมีเทพเจ้าแห่งธรรมชาติตั้งอยู่ ลักษณะครึ่งบนเป็นคน ครึ่งล่างเป็นงู เป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชนเผาไปกราบไหว้
ข้างๆ ก็จะมีเหมือนเป็นกระทะจิ๋ว เอาไว้ตักน้ำล้างมือ ล้างหน้า บางคนก็ดื่ม เชื่อว่าเป็นสิริมงคล
เราล้างมือก็พอเนอะ แหะๆ
ใกล้ๆ กันมี บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ให้เราอิษฐานขอพรกัน โดยเราจะต้องไปยืนตรงจุด ปีนักษัตร ที่เราเกิด จากนั้นอธิษฐาน แล้วโยนเหรียญ ถ้าเหรียญหล่นลงตรงหลุมเล็กๆ กลางบ่อ คำอธิษฐานของเรานั้นก็จะสำเร็จ
อุทยานน้ำหยก หรือ หมู่บ้านน้ำหยก นี้มีพื้นที่ไม่กว้างมากนัก ตรงทางเดินออกเราจะผ่านศูนย์อาหารเล็กๆ ในบริเวณก็จะมีร้านขายอาหาร และโต๊ะนั่ง เป็นห้องกระจก สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์สวยๆ ของอุทยานน้ำหยก
หลังจากเที่ยวกันมาทั้งวันแล้ว ช่วงเย็นแล้วก็มาทานอาหารกันที่ร้านนี้ สุกี้แซลมอน
ฉู่ฉง (Chuxiong)
ขอพูดถึงเมืองนี้หน่อยก็แล้วกัน ^^ เมืองฉู่ฉง เป็นเมืองเล็กๆ เป็นเมืองทางผ่านของเรา ระหว่างเมืองคุนหมิงไปยังเมืองต้าหลี่ ขาไปเราก็แวะทานข้าวกันที่เมืองนี้ และขากลับเราก็มาค้างที่นี่ 1 คืน ซึ่งโรงแรมที่เรามาพักนั้น ตั้งอยู่ในเมืองเก่าฉู่ฉง เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ตั้งอยู่ติดกับถนนคนเดิน แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของที่นี่ด้วย
Jianhua International Hotel ที่พักของเราในเมืองฉู่ฉง
ร้านอาหารจะอยู่ด้านข้างโรงแรม เยื้องๆ กัน ร้านตกแต่งสวย แล้วที่สำคัญอาหารอร่อยทุกอย่าง ^^
ข้างนอกร้าน มีโต๊ะนั่งแบบนี้ด้วย
ลืมถามไกด์เลยว่าทำไมเขาต้องเอาหญ้ามาวางด้วย เพราะเห็นมีอยู่หลายร้านเลย
ออกมาหน้าโรงแรมก็เจอถนนคนเดินแล้ว แถบนี้เรียกว่า “อี๋เหรินกู่เจิ้น” ตอนเย็นๆ ถึงกลางคืนจะมีของขายเยอะแยะไปหมด ทั้งของกินของใช้ ถนนคนเดินที่นี่กว้างมาก เดินเมื่อยขากันเลยทีเดียว
ที่เห็นอยู่นี้คือ น้ำตาล ป้ากำลังทำขนมไม้ แท่งสีขาวๆ รสชาติหวานๆ ที่เราชอบกินตอนเด็กๆ นั่นแหละ
ที่นี่ก็มี ปาโป่ง นะจ๊ะ .. เล่นสักเกมไหมล่ะ
ผลไม้ที่นี่ก็ลูกใหญ่ไปอีก แตงโมใหญ่กว่าหัวเราอีกอ่ะ!
ถ้าเห็นเนื้อย่างสีดำๆ อย่าคิดว่าเป็นเนื้อวัวเชียวนะ มันคือเนื้อจามรี! คนจีนชอบกินเนื้อจามรี เขาบอกว่ากินแล้วทำให้ร่างกายอบอุ่น กลิ่นแรง ราคาแพง ถ้าเป็นตัวก็ประมาณ 12,000 หยวน มีหลายรสชาติซะด้วย จามรีเป็นสัตว์ที่ต้องเลี้ยงอยู่บนความสูง 3000 เมตรขึ้นไปเท่านั้น
แล้วเจ้าจามรีเนี่ยก็ทุกส่วนในร่างกายของมันมีประโยชน์แทบทั้งหมด เช่น เขาจามรีทำเป็นหวี, กระดูกเอาไปทำตะเกียบ, หนังเอาไปทำเสื้อผ้า ผ้าปู, หางเอาไปทำไม้กวาด ส่วนที่เหลือ เช่น อุจาระ ชาวทิเบตเอาไปตากแห้งทำสมุนไพร แล้วชงกิน OMG!!! หรือไม่ก็เอาไปตากแห้งเอาไปทำเป็นฟืน เผาหุงข้าว
เดินมากลางจตุรัส ก็เจออันนี้! ของเล่นสำหรับผู้ใหญ่ มันก็จะวิ่งวนไปตามทางที่เราบังคับ
ตื่นแต่เช้า เก็บกระเป๋าเตรียมตัวออกเดินทางกลับไปยังเมืองคุนหมิง พอมีเวลาเดินเล่นแถวนี้นิดหน่อย ^^
หน้าโรงแรมที่เราพัก Jianhua International Hotel
เมืองเก่าฉู่ฉง สมัยก่อนนั้นเป็นเมืองเก่าอยู่แล้ว แต่ทุบทิ้งไปแล้วสร้างขึ้นมาใหม่ (เพื่อ!!!!) ตอนนี้ก็สร้างได้ประมาณ 6 ปี ส่วนมากคนที่อาศัยอยู่นั้นจะเป็นชนเผ่ากลุ่มน้อยชาวหยี มีเยอะที่สุดในมณฑลยูนนาน
วันสุดท้ายเรากลับมาพักกันที่เมืองคุนหมิง โรงแรม Longway Hotel
พักอยู่ใกล้ๆ แหล่งท่องเที่ยว ถนนคนเดิน
ตอนเย็นเราแวะทานอาหารกันที่ร้าน สุกี้เห็ด เป็นร้านอาหารขึ้นชื่อของเมืองคุนหมิง ขั้นตอนการกินนั้น พนักงานจะเป็นคนตักอาหารให้เราทั้งหมด เราแค่นั่งกินสวยๆ แค่นั้น! หากใครกลัวรสชาติสุกี้ไม่ถูกปาก ก็พกน้ำจิ้มสุกี้บ้านเราไปกินด้วยก็ได้ โต๊ะข้างๆ เราเป็นคนเกาหลี แกยังเอากิมจิมากินเลย 555
สุกี้เห็ด จะมีด้วยกัน 3 หม้อ คือ
- หม้อแรกเป็นต้มเห็ด มีสารพัดเห็ดที่มีประโยชน์ พนักงานจะคอยดูว่าควรตักเสิร์ฟเราเมื่อไหร่ เพราะถ้าต้มเห็ดไม่ได้ตามความพอดี เวลากินเข้าไปก็จะไม่ดีต่อร่างกาย
- หม้อที่ 2 เป็นต้มหมู จะมีเนื้อหมู ผักต่างๆ
- และหม้อที่ 3 จะเป็นเส้นหมี่ เส้นหมี่ของที่นี่ก็มีให้เลือกหลายรสชาติ ส่วนที่เรากินวันนี้เป็นเส้นหมี่ไข่
.. เอาจริงแค่หม้อที่ 2 ก็อิ่มแปร้แล้ว เจ๊เล่นตักพูนถ้วยเลยล่ะ
ตอนเช้าเราพอมีเวลาก็เลยไปเดินเล่นตลาดตอนเช้า เดินออกทางด้านหลังของโรงแรมได้เลย ตอนเช้าก็ครึกครื้นไม่แตกต่างจากตอนดึก มีของกินขายเต็มไปหมดเลย ก่อนกลับก็ขอแวะซื้อสตอเบอร์รี่กลับไปกินสักหน่อย ^^
การเดินทางในครั้งนี้ ประทับใจมากๆ ไม่คิดว่าเมืองจีนจะมีแหล่งท่องเที่ยวสวยๆ แบบนี้ เพราะเรายังติดภาพที่ไม่ดีๆ กันอยู่ แต่เชื่อเถอะว่าถ้าได้มีโอกาสมาสักครั้งแล้วจะชอบกันแน่นอน และการเดินทางในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณสายการบิน “แอร์เอเชีย” ที่ทำให้การเดินทางของเราสะดวกสบาย เดินทางไม่มีสะดุด พนักงานน่ารัก อาหารก็อร่อย ^^
บินตรงสู่จีนมากที่สุด ไปจีนไปกับแอร์เอเชีย
สายการบินไทยแอร์เอเชีย (Air Asia)
คุนหมิง “นครแห่งฤดูใบไม้ผลิ” เมืองที่อากาศเย็นสบายตลอดทั้
มีทวี ทัวร์
บริการนำเที่ยวต่างประเทศ ทัวร์จีน คุนหมิง กุ้ยหลิน ทั
โทร: 02 736 1599 เพิ่มเติมคลิ๊ก http://www.meetawee.com/