BMW JOY Magazine The Ultimate JOY Experience

6 เส้นทาง ขับรถเที่ยว อัศจรรย์แห่งทัศนียภาพ

Home / ท่องเที่ยวรอบโลก / 6 เส้นทาง ขับรถเที่ยว อัศจรรย์แห่งทัศนียภาพ

          บางคนสะสมกระเป๋า บางคนสะสมนาฬิกา และบางคนเลือกที่จะสะสมประสบการณ์การเดินทาง เพราะหลากหลายความทรงจำดีๆ เกิดขึ้นได้ตลอดทริป ไม่ว่าจะเดินทางด้วยรถเมล์ รถไฟ รถยนต์ ไม่ว่าจะผ่านตรอกซอกซอย หรือถนนสายไหนๆ ก็ล้วนมีทิวทัศน์ที่งดงามหลบซ่อนอยู่ 6 เส้นทาง ขับรถเที่ยว อัศจรรย์แห่งทัศนียภาพ หรือ DRIVES ME CRAZY 6 Best Driving Destinations อีกหนึ่งเรื่องราวการเดินทางอันน่าสัมผัส จาก นิตยสาร JOY ฉบับแกรนทัวริสโมนี้ เป็นสิ่งที่เราอยากแบ่งปัน เผื่อบันทึกไว้เป็นหนึ่งแรงผลักของนักเดินทาง

 อิตาลี : Stelvio Pass

          ถนนสายนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเส้นทางที่มีทั้งรถยนต์ และมอเตอร์ไซค์สัญจรกันหนาแน่นที่สุด เมื่อเทียบกับเส้นทางบนภูเขาสูงในเทือกเขาแอลป์เส้นอื่นๆ ถ้าเป็นไปได้จึงควรเลือกที่พักให้ใกล้มากที่สุดแล้วออกแต่เช้า ถ้าเป็นช่วงกลางสัปดาห์ และเลี่ยงไฮซีซั่นในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคมได้ยิ่งดี

          Stelvio Pass เป็นถนนผ่านช่องเทือกเขาแอลป์ที่เก่าแก่ จุดสูงสุดอยู่ที่ 2,757 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ถนนนี้อายุเกือบสองร้อยปีแล้ว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ช่องเขานี้ได้การกล่าวขานถึงว่าเป็นสมรภูมิที่สูงที่สุด และหฤโหดที่สุดแห่งหนึ่ง เส้นทางลดเลี้ยวไปตามไหล่เขา มีโค้งพับผ้ามากกว่า 70 โค้ง ถนนแคบถึงแคบมาก

มอเตอร์ไซค์เพียบ เยอะจนตำรวจต้องปิดเส้นทางไม่ให้รถยนต์ขึ้นในช่วงสายๆ ของวันนั้น

นิวซีแลนด์ : Glenorchy

          เมือง Glenorchy ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นที่ตั้งของ Paradise หรือดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ นั่นเป็นเพราะเมืองเล็กๆ ปลายทะเลสาบ Wakatipu ถูกใช้เป็นที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องมาก ทั้ง Lord of The Ring และ Narnia เมื่อวิ่งทะลุ Glenorchy ไปยังเมือง Kinloch ซึ่งเมื่อขับจะเจอเส้นทางเป็นบ้านเล็กๆ ที่เราสามารถไปนั่งทานมื้อเที่ยงพร้อมชมบรรยากาศ

          ขากลับจาก Kinloch ให้ขับรถย้อนเส้นทางเดิมเลาะไหล่เขา เลียบ ริมทะเลสาบ Wakatipu กลับไปยัง Queenstown การเดินทางเที่ยวนี้ทิวทัศน์จะดูอลังการยิ่งกว่าขามา เพราะมี เทือกเขา The Remarkables  มีหิมะปกคลุมยอดเป็นแนวยาว

          จาก Queenstown มุ่งหน้าสู่เมือง Cardrona  แวะจุดพักบน Crown Range Road ก่อนจะขับต่อไปทานของว่างที่โรงแรม Cardrona Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมที่เก่าแก่ที่สุดใน นิวซีแลนด์ จากนั้นมุ่งหน้าขึ้นเขาสู่ Snow Farm เมืองหลวงแห่งกีฬาแอดเวนเจอร์ของโลก ความเด็ดอยู่ที่เส้นทางขึ้นไป เพราะเป็นเส้นทางแรลลี่ Race to The Sky ที่โด่งดังในหมู่คนรักมอเตอร์สปอร์ต

สุดทางที่เมือง Glenorchy แวะดูวิวสวยๆ ได้ แต่อย่าหยุดเพียงเท่านี้

ทิวทัศน์จากโต๊ะอาหารมื้อกลางวันที่ Kinloch

ออสเตรเลีย : The Great Ocean Road

          The Twelve Apostles เป็นหนึ่งในจุดหมายที่ใครก็ตามที่ไปเที่ยวนครเมลเบิร์นต้องแวะไปชม มันเป็นกลุ่มของแท่งหินปูนที่เกิดการกัดกร่อนตามธรรมชาติ ตั้งอยู่บนเส้นทาง The Great Ocean Road ชายฝั่งด้านใต้ของเกาะออสเตรเลีย กาลเวลาผ่านไป แท่งหินก็ถูกกัดเซาะล้มลงไปหลายอัน จากที่ควรเป็น 12 ตามชื่อ ตอนนี้เหลืออยู่เพียง 8 เท่านั้น

          ถ้ามีเวลาไม่มากแนะนำให้ออกเดินทางจากเมลเบิร์นแต่เช้าโดยตรงไปยัง The Twelve Apostles ก่อน จากนั้นค่อยขับกลับแบบชิลๆ ชมทิวทัศน์สองข้างทางและแวะถ่ายภาพเป็นที่ระลึก

          ขากลับวิ่งผ่านเส้นทาง The Great Ocean Road ซึ่งเป็นเส้นทางลัดเลาะไปตามชายฝั่ง ทิวทัศน์สวยงาม หลังจากผ่านมาแล้วเพิ่งรู้ว่าถนนเส้นนี้เป็นอนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อสร้างให้กับทหารที่เสียชึวิตในสมรภูมิ เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี ค.. 1919 ใช้เวลาสร้างทั้งสิ้นถึง 13 ปี

คล้ายๆ แกะแต่คอยาว

ให้ทายว่าหล่นไหม

โปรตุเกส : Porto

          คนไทยส่วนใหญ่จะรู้จัก Porto เมืองใหญ่อันดับที่ 2 ของ ประเทศโปรตุเกส ผ่านทีมฟุตบอล แต่เมืองนี้ยังมีดีที่พอร์ตไวน์ ซึ่งเป็นไวน์แดงรสชาติหวานๆ ไว้ดื่มตอนหลังอาหาร เป็นผลผลิตอันโด่งดังอีกด้วย

          นอกจากพอร์ตไวน์แล้ว Porto ยังมีทีเด็ดอีกอย่าง คือ ถนนเส้น N-222 ระหว่างเขต Peso da Régua และ Pinhão ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น The World’s Best Driving Road โดยนอกจากเรื่องของวิวทิวทัศน์ของไร่องุ่นแบบขั้นบันไดเรียงรายเป็นลำดับขั้นที่งดงามบนเชิงเขาแล้ว มันยังเป็นถนนที่มีสัดส่วนที่ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่สมบูรณ์แบบตามสูตร 10:1 มีโค้งกว้าง และแคบรวมกันถึง 93 โค้ง

          ขอแนะนำให้เริ่มออกเดินทางจาก Porto มุ่งหน้าไปทางตะวันออกสู่ Pinhão ที่เส้นทาง N-222 จะพาเราเลาะเลียบริมแม่น้ำไปยัง Peso de Régua เพลิดเพลินกับทิวทัศน์สองข้างทาง เพราะหุบเขา Douro Valley ที่เต็มไปด้วยไร่องุ่นนี้เป็นต้นกำเนิดของพอร์ตไวน์ และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกด้วย

สหรัฐอเมริกา : Valley of Fire, Nevada

          Valley of Fire State Park มีหินทรายแดงหลากเฉดสีรูปทรงประหลาดมากมายให้ได้ถ่ายรูปไม่รู้เบื่อ สร้างความประทับใจได้มาก ขับผ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบก่อนจะกลับไปสู่แสงสีของเมือง Las Vegas ซึ่งอยู่ห่างไปเพียงชั่วโมงเศษด้วยระยะทาง 80 กิโลเมตร

          จาก ลาสเวกัส แนะนำให้ไปต่อขับอ้อมตัวเมืองไปทางใต้เพื่อไปเที่ยว Grand Canyon สักรอบ ตัวอุทยานแห่งชาติ Grand Canyon นี้แบ่งเป็นหลายโซน แต่ละจุดมีวิวสวยๆ ที่แตกต่างกัน ต้องทำการบ้านก่อนไปสักนิดว่าอยากไปจุดไหนจะได้เลือกเส้นทาง และกะเวลาถูก

แสงสีของเมือง Las Vegas

ไอส์แลนด์ : Sólheimasandur Beach

          ถ้ามีสักแห่งบนโลกที่เหมือนนอกโลกมากที่สุดคงจะเป็นด้านใต้ของเกาะไอซ์แลนด์นอกจากจะมีธารน้ำแข็งขนาดมหิมาทุ่งหินโลกว้างสุดลูกหูลูกตาแล้วยังมีหาดทราย Solheimasandur สีดำทะมึนบนหาดทรายสีดำยังมีซากเครื่องบินตั้งอยู่อย่างปล่าวเปลี่ยว

          ซากเครื่องบิน DC-3 ของกองทัพสหรัฐซึ่งได้ร่อนลงฉุกเฉินในวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.. 1973 กลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่นักผจญภัย และคนรักการถ่ายภาพทั่วโลกไม่อยากพลาด ถ้าคิดว่าจะปักหลักถ่ายภาพซากเครื่องบินโดยมีฉากหลักเป็นแสงเหนือ ควรเช็คพยากรณ์อากาศให้ดีว่าเป็นวันฟ้าเปิด เตรียมเสื้อผ้าให้พร้อม ที่สำคัญคือแบตเตอรี่กล้องกับน้ำมันรถต้องพร้อม

          หากอ้อมไปด้านใต้ของตัวเกาะมุ่งหน้าสู่ธารน้ำแข็ง Jökulsárlón ทิวทัศน์ธรรมชาติต่างๆ ที่ได้เห็น ทั้งน้ำตก ธารน้ำแข็ง ทำให้รู้สึกว่า มนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เท่านั้นเอง

ธรรมชาติแสนยิ่งใหญ่ทำให้เรารู้สึกว่ามนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ

ขอบคุณประสบการณ์การเดินทางจาก นิตยสาร JOY Magazine #3 สามารถดาวน์โหลดได้ที่ bit.ly/JOYMAG003