ไปเที่ยวอินเดียกันไหม? ถ้ามีเพื่อนชวนเราคำตอบคือ??? เคยลองชวนเพื่อนๆ ดูเล่นๆ จะมีสักกี่คนที่จะตอบรับโดยไม่มีคำถามในใจ… ชวน 10 คนได้คำตอบมา 1 คน พร้อมคำถามมากมายตามมา ไปเมืองไหน กินนอนยังไง ไม่กินเครื่องเทศจะมีไรอื่นกินได้ไหม ขอทานเยอะไหม เราจะทนกลิ่นได้หรือเปล่า ไม่อันตรายใช่ไหม สารพัดคำถาม *%@฿๕* .. และนี่คือความเป็นจริงที่เราได้ไปสัมผัสมา ณ มหานครสีชมพู “จัยปูร์” ประเทศอินเดีย
7 จุดเช็คอินห้ามพลาด! มหานครสีชมพู
“จัยปูร์” ประเทศอินเดีย
ผู้คนยังคงจดจำเรื่องราว เรื่องเล่าของอินเดียในแง่มุมที่ฟังเขาเล่ามา ข่าวเขาว่าแบบนั้น ซึ่งบางอย่างก็ไม่ผิด การที่เราได้มาสัมผัสประเทศอินเดียด้วยตาตัวเอง ทำให้เราได้เห็นในอีกมุมมอง ทำให้เข้าใจอัตลักษณ์ของชาวอินเดียมากขึ้น “ยิ่งเห็น ยิ่งเข้าใจ” ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ในอินเดียตามคอนเซปส์ประเทศ “Incredible India” จริงๆ
สำหรับทริปนี้เป็นส่วนหนึ่งให้เราได้เรียนรู้ สัมผัสบรรยากาศความเป็นอินเดี๊ย อินเดีย (ถ้าอยากเดินถ่ายรูปชิลล์ๆ อากาศดีๆ แนะนำให้มาช่วงหน้าหนาว พ.ย.-ก.พ) ไปชมความงานของสถาปัตยกรรมและป้อมปราการแห่งเมือง “ชัยปุระ หรือ “จัยปูร์” (Jaipur) เมืองท่องเที่ยวสำคัญของรัฐราชสถาน และความนิยมจากนักท่องเที่ยวอันดับ 7 ของประเทศอินเดีย ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวในตัวเมืองชัยปุระมีประวัติศาตร์ยาวนานไม่ต่ำกว่า 300 ปี โดยมหาราชาไสว จัย ซิงห์ที่ 2 (Maharaja Sawai Jai Singh ll) ผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้าง มหานครสีชมพู แห่งนี้ รวม 7 จุดเช็คอินสำคัญที่ห้ามพลาดเมื่อมาถึงเมืองชัยปุระ
1. พระราชวังหลวง (City Palace)
พระราชวังนี้ มีชื่อเสียงในเรื่องของงานจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามมาก เห็นแล้วเชื่อเหลือเกินว่าลายผนัง กระเบื้องงามๆ ในโลกอยู่ที่พระราชวังในเมืองชัยปุระหมดแล้วจริงๆ ทั้งงานแกะสลักและงานตกแต่งแก้วสี ภายในมีสวนและพระตำหนักต่างๆ มากมาย หลายส่วนได้ก่อสร้างเพิ่มเติม ซ่อมแซมจนเห็นความใหม่ ภายในพระราชวังแห่งนี้ได้ชัดเจน
ปัจจุบันนอกจากส่วนที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ แสดงทรัพย์สมบัติของอดีตมหาราชาและมเหสีต่างๆ อาทิ เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ของใช้ รวมถึงภาพวาด ภาพถ่าย เพื่อแสดงชีวิตความเป็นอยู่ของมหาราชา อีกทั้งโบราณสถานให้นักท่องเที่ยวและบุคคลทั่วไปเข้าชม และบางส่วนยังเป็นที่อยู่อาศัยของทายาท และมหาราชาองค์ปัจจุบันด้วย นอกจากนี้ยังมีร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านหนังสือ เครื่องประดับ และร้านอาหาร
เปิดให้เข้าชม : 09.00 – 16.30 น.
ค่าเข้าชม : 200 รูปี
2. หอดูดาว “จันทาร์ มานทาร์”
(Jantar Mantar)
จันทาร์ มานทาร์ (Jantar Mantar) ตั้งอยู่บริเวณด้านข้างของ city palace เป็นสถานที่ท่องเที่ยวด้านดาราศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองจัยปูร์ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1727 โดยมหาราชาไสวจัย ซิงห์ที่ 2
เนื่องจากทรงสนพระทัย และมีพระปรีชาในเรื่องดาราศาสตร์ จึงได้สร้างหอดูดาวแห่งนี้มาพร้อมๆ กับการสร้างพระราชวังซิตี้พาเลซ (city palace) ภายในจันทาร์ มานทาร์ มีหอนาฬิกาแดดขนาดใหญ่ซึ่งวัดเวลาได้อย่างแม่นยำ ในสมัยโบราณใช้เป็นเครื่องมือสำคัญใช้คำนวณฤกษ์เวลาในการออกรบ
นอกจากนี้แล้ว มหาราชาไสวจัย ซิงห์ที่ 2 ยังได้สร้างหอดูดาวในลักษณะนี้อีก 4 แห่งด้วยกันคือ ใจกลางเมืองเดลี, Ujjain, Varanasi และ Matura นาฬิกาแดดที่ใหญ่ที่สุดในโลกจะอยู่ที่จัยปูร์มีความสูงถึง 28 เมตร ที่มีความเที่ยงตรง บอกเวลาที่เมืองชัยปุระ ซึ่งเวลาจะไม่ตรงกับเวลามาตรฐานของอินเดีย (ช้ากว่า 35 นาที)
จันทาร์ มานทาร์ ได้รับยกย่องจากยูเนสโกว่า”เป็นการแสดงออกถึงความชาญฉลาดทางดาราศาสตร์และแนวความคิดทางจักรวาลวิทยาของราชสำนักในช่วงปลายของยุคโมกุล” และได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกในปี 2010
3. พระราชวังสายลม (Hawal Mahal)
ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของ city palace เป็นพระราชวังที่สร้างด้วยหินทรายสีชมพู หน้าตาคล้ายรวงผึ้งแกะสลัก ดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองชัยปุระ กับช่องหน้าต่างให้มองดูผู้คนของเหล่านางใน
พระราชวังสายลม เคยเป็นฮาเร็มของมหาราชา มีลักษณะเป็นอาคาร 5 ชั้น สร้างด้วยหินทรายสีออกแดง มีสถาปัตยกรรมสไตล์เปอร์เซียกับโมกุลที่สวยเด่น คือ ลวดลายฉลุหินตามหน้าต่าง ช่องระบายอากาศที่บรรดานางสนมในวังใช้เป็นที่แอบดูชีวิตความเป็นอยู่ของสามัญชนทั่วไป ด้วยการออกแบบหน้าต่างให้มีความมิดชิดเป็นส่วนตัว และประโยชน์อีกอย่าง คือเป็นช่องแสงและช่องลม มีช่องหน้าต่างจำนวนมากถึง 152 ช่อง
เปิดให้เข้าชมเวลา : 09.00-16.30 น ทุกวัน ยกเว้นวันศุกร์
ค่าเข้าชม : 30 รูปี
4. วัดพระพิฆเณศ (Ganesh temple)
สร้างขึ้นโดย เสธอึ๊ง รามปาลีวาล ในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ เป็นวัดที่มีชื่อเสียงด้วยความเป็นมงคลขององค์พระพิฆเนศวร นับเป็นไฮไลท์สำคัญที่มีผู้คนทั้งใน และนอกเมืองชัยปุระต่างนิยมเข้าชมเคารพบูชา เพื่อเป็นมงคลในชีวิตประจำวัน และเพื่อค้นหาของความสุขนิรันดร์
พระพิฆเนศช้างหัวเทพในศาสนาฮินดูถือว่าเป็นพระเจ้าแห่งความเป็นมงคล ภูมิปัญญาความรู้และความมั่งคั่ง จึงทำให้วัดพระพิฆเณศนี้มีผู้คนศรัทธาเข้ามาสักการะโดยนิยมนำขนมโมทกะมาถวายท่านอย่างไม่ขาดสาย
5. แอมเบอร์ ฟอร์ท (Amber fort)
พระราชวังแอมเบอร์ฟอร์ท เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของชัยปุระ มีที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนผาหินเหนือทะเลสาบเมาตา (Maota) สร้างโดยมหาราชา มาน สิงห์ที่ 1 ป้อมปราการแห่งนี้มีชื่อเสียงทางด้านสถาปัตยกรรม ซึ่งผสมผสานกันระหว่างศิลปะฮินดู และศิลปะราชปุตอันเป็นเอกลักษณ์
สามารถมองเห็นได้จากระยะทางไกล เนื่องจากมีขนาดกำแพงปราการที่ใหญ่และแน่นหนา
เมื่ออยู่บนป้อมแล้วสามารถมองเห็นทะเลสาบเมาตา (Maota) ได้อย่างชัดเจน
ภายในพระราชวังแอมเบอร์ จะมีรายละเอียดบนผนังที่สวยงาม ปราณีต มีลวดลายอ่อนช้อยงดงามควรค่าแก่การชมยิ่งนัก และ มีสวน Char Bagh อยู่ภายในพระราชวัง จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของพระราชวังแอมเบอร์คือการจัดการระบบน้ำโดยการนำน้ำจากทะเลสาบเมาตา( Maota) มาใช้ในห้องหับต่างๆในพระราชวัง
สวน Char Bagh ภายในพระราชวัง
ส่วนการเดินทาง เราสามารถเดินทางขึ้นพระราชวังแอมเบอร์ฟอร์ทได้สองวิธี คือ การนั่งช้างหรือรถจิ๊ป
แน่นอนว่ารถจิ๊ปนั่งที่ไหนก็ได้ เราเลือกนั่งช้าง ได้ฟีลลิ่งกว่าเยอะ!
6. ป้อมชัยคฤห์ (Jaigarh fort)
ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา “ชีลกาทีลา” อยู่สูงเหนือกว่าป้อมแอมแมร์ ขึ้นไปไม่ไกลนัก สร้างโดยมหาราชาไสวจัย ซิงห์ที่ 2 เพื่อใช้สำหรับอารักขาป้อมและพระราชวังแอมแบอร์
การออกแบบทางโครงสร้างสถาปัตยกรรมที่คล้ายคลึงกับป้อมแอมเมอร์ และยังนิยมเรียกกันว่า “ป้อมชัย” (ป้อมแห่งชัยชนะ) ในป้อมแห่งนี้เป็นที่ตั้งของปืนใหญ่ “ชัยวนา” (Jaivana) ซึ่งมีน้ำหนักถึง 50 ตัน ซึ่งได้ทำการหลอมโลหะและผลิตภายในป้อมแห่งนี้ โดยในขณะที่สร้างนั้นถือเป็นปืนใหญ่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
7. พระราชวังฤดูร้อน (Jal Mahal)
พระราชวังฤดูร้อน มีไว้สำหรับราชวงศ์ เพื่อใช้พักผ่อนคลายร้อน ตั้งอยู่กลางทะเลสาบมันสกา (Man Sagar) โดยพระราชวังแห่งนี้ได้ทิวทัศน์ที่สวยงามของทะเลสาบและเทือกเขานหาร์การห์เป็นฉากหลัง ตัวอาคารสร้างโดยใช้หินทรายสีแดงเป็นอาคาร 5 ชั้นซึ่ง 4 ชั้นล่างจะถูกน้ำท่วมเมื่อทะเลสาบมีระดับน้ำสูงสุดโดยเหลือเพียงชั้นบนสุดซึ่งจะเผยขึ้นมาเหนือน้ำ
นอกเหนือจาก สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของมหานครสีชมพู ชัยปุระ แล้ว การเดินดู ถ่ายภาพ วิถีชีวิตผู้คนตามท้องถนน ตลาดต่างๆ ในช่วงอากาศเย็นสบายกำลังดี ก็น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน และยิ่งคราวนี้เราไปเจอช่วงเทศกาลว่าว ของเมืองชัยปุระพอดี (ปีนี้ตรงกับวันที่14-15 มกราคม) ผู้คนจะดูคึกคักพร้อมใจเล่นว่าวกันทั้งเมือง บนดาดฟ้าบ้านเรือน บนท้องถนน บนพื้นที่โล่งๆ ขอเพียงว่าวแทรกตัวเล่นได้ไม่มียกเว้น จะมีเชือกว่าวระโยงระยางเต็มไปหมด
ความสุขอันเรียบง่ายของชาวเมืองชัยปุระที่เรียกรอยยิ้มทั้งคนเล่นและคนดู คนถ่ายรูปเขาก็ต้องระวังเชือกว่าวกันเอง รถยนต์ที่วิ่งไปมาก็ต้องระวังทั้งคนทั้งเชือกว่าว สนุกปนอลหม่านนิดๆ นี่คืออิสระแบบอินเดียไม่สนใจสิ่งใดๆ เลยนอกจากความสุขตรงหน้า …. Incredible India ของแท้ต้องมาสัมผัสที่อินเดียเท่านั้น 🙂
สำหรับเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-ชัยปุระ เปิดให้บริการ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ คือวันอังคาร, พฤหัสบดี และวันเสาร์ เส้นทางชัยปุระ-กรุงเทพฯ เปิดให้บริการ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์เช่นกัน คือวันพุธ, วันศุกร์ และวันอาทิตย์ ให้บริการใน 2 ชั้นโดยสารได้แก่ ชั้นพรีเมี่ยมอีโคโนมี่ หรือ Smile PLUS และชั้นอีโคโนมี่ หรือ Smile Class ราคาเริ่มต้นที่ 4,510 บาท รายล่ะเอียดเพิ่มเติม www.thaismileair.com