เที่ยวกรุงเทพ ย้อนกาลเก่า เล่ารัตนโกสินทร์ ยินผ่านวรรณกรรม
เมื่อเร็วๆนี้ Travel MThai ได้มีโอกาสไปออกทริป เที่ยวกรุงเทพ กับบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี ในกิจกรรม “ย้อนกาลเก่า เล่ารัตนโกสินทร์ ยินผ่านวรรณกรรม” ช่วงรัชกาลที่ 5 – ปัจจุบัน ผ่านการท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆในกรุงเทพ โดยมีอาจารย์นัท จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรม มาเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจให้ฟังตลอดการเดินทาง
เริ่มต้นการเดินทางของเรากันที่ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม วัดเก่าแก่ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาขึ้น และออกแบบโดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ วัดแห่งนี้ถือเป็นสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ที่มีศิลปะงดงามโดดเด่นเป็นอย่างมาก
และจุดเด่นของวัดเบญจมบพิตร ก็คือ พระอุโบสถ ที่ภายในมีองค์พระประธานซึ่งจำลองมาจากพระพุทธชินราช ของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก แต่ก็ยังมีรายละเอียดที่ต่างกันถึง 5 จุด ดังนี้
- พระพุทธชินราชที่พิษณุโลกเป็นสัมฤทธิ์ แต่ ที่วัดเบญจมบพิตรเป็นทองเหลือง
- พระพุทธชินราชที่พิษณุโลกเรือนแก้วเป็นไม้ แต่ ที่วัดเบญจมบพิตรเรือนแก้วเป็นทองเหลือง
- พระพุทธชินราชที่พิษณุโลกมีอุณาโลมฝังอัญมณี (ปัจจุบันถอดเก็บไว้ในเซฟแล้ว) แต่ ที่วัดเบญจมบพิตรไม่มี
- ฐานเรือนแก้วของพระพุทธชินราชที่พิษณุโลก จะเป็นรูปยักษ์ด้านนึง และมารอีกด้านนึง นั่งอยู่บนหลังสิงห์แล้วแบกเรือนแก้ว แต่ ที่วัดเบญจมบพิตร จะเป็นรูปสิงห์แบกเรือนแก้ว
- ด้านหลังพระพุทธชินราชที่พิษณุโลกจะเป็นพื้นหลังสีดำ มีดอกไม้ร่วง และเทพยดาเหาะลงมา แต่ ที่วัดเบญจมบพิตรจะเป็นพื้นหลังแบบบลูสกรีน
ส่วนระเบียงด้านหลังพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร ถือเป็นอีกจุดที่น่าสนใจ เพราะประกอบไปด้วยพระพุทธรูปโบราณปางต่างๆ ทั้งปางประทับนั่งและยืน เรียงรายสลับกันรวมถึง 52 องค์เลยทีเดียว โดยพระพุทธรูปทั้งหมดนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงรวบรวมมาจากทั้งหัวเมืองต่างๆ รวมไปถึงต่างประเทศ
ในบรรดาพระพุทธรูปทั้งหมดด้านหลังพระอุโบสถ มี 2 องค์ ที่น่าสนใจ คือ พระพุทธรูปปางลีลา เพราะตรงจุดนั้นมีการออกแบบระเบียงให้เหมือนซุ้มกลีบบัว เมื่อมองจากด้านนอก จะเห็นคล้ายว่าอยู่ในกรอบรูป ในขณะที่พระพุทธรูปองค์อื่นๆนั้นตั้งอยู่ในช่องเสาธรรมดา
จากนั้น เราไปกันที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา แวะสักการะพระราชานุเสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี (พระนางเรือล่ม) ผู้เป็นที่รักยิ่งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นที่มาของการตั้งชื่อ “สวนสุนันทา” กันเป็นอย่างแรก
จากนั้น อาจารย์นัท จึงได้เล่าให้เราฟังถึงเรื่องอุโมงค์ใต้เนินพระนาง ซึ่งเป็นอุโมงค์โบราณ มีอายุกว่า 100 ปี สมัยก่อนพื้นที่บริเวณนี้เป็นพื้นที่ลุ่ม ต้องขุดดินถมที่ทำให้ดินกองพูนเป็นเนิน จึงได้ใช้พื้นที่ใต้เนินสร้างเป็นห้องเก็บของ ด้านในทำเป็นชั้นวางถ้วยชามต่างๆ ต่อมาในสมัยช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีการใช้อุโมงค์ใต้เนินพระนางแห่งนี้เป็นที่หลบระเบิด
เดินต่อกันไปไม่ไกล ไปที่ พิพิธภัณฑ์อาคารสายสุทธานภดล ตั้งอยู่ที่สำนักศิลปะและวัฒนธรรม ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เดิมที่นี่คือ ตำหนักสายสุทธานพดล ที่ประทับของพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา พระอัครชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่นี่เป็นพระตำหนักแฝดขนาดใหญ่กึ่งปูนกึ่งไม้ มีพื้นที่กว้างขวาง ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลี ที่ตอนนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ศิลปะและสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี 2559 อีกด้วย
แม้ว่าที่นี่จะเคยเป็นตำหนักมาก่อน แต่สิ่งของต่างๆที่เป็นของเดิมจะหลงเหลือเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น นอกจากนั้นจะเป็นการจำลองขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เช่น ห้องบรรทมจำลองของพระวิมาดาเธอฯ มีการจัดแสดงพระราชกรณียกิจและพระปรีชาสามารถของพระวิมาดาเธอฯ เช่น งานฝีมือ การครัว งานดอกไม้สด งานดอกไม้แห้ง ฯลฯ จำลองห้องทรงพระสำราญ (ห้องนั่งเล่น) ซึ่งในห้องนี้มีตู้ที่ติดตำหนักมาตั้งแต่สมัยนั้น และได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ และในส่วนของห้องพระที่แยกออกไปนั้น ยังมีเชิงเทินและครอบแก้วที่ระลึกในงานพระศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ อยู่ที่นี่ และยังมีการจำลองห้องเสวยแบบไทย อีกด้วย
นอกจากนั้นยังมีงานวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับสวนสุนันทาอยู่ 2 เรื่อง คือ
- เงาะป่า เป็นเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นิพนธ์ขึ้น และให้พระวิมาดาเธอเล่นตอนพระองค์เสวย
- ไกลบ้าน เป็นพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่เขียนถึงสมเด็จเจ้าฟ้านิภานพดล พระราชธิดาองค์ที่ 3 ของพระองค์ กับ พระวิมาดาเธอฯ
หลังจากนั้น เราได้แวะมาทานอาหารกันที่ ห้องอาหาร แก้วเจ้าจอม ภายในโรงแรมวังสวนสุนันทา ความพิเศษของมื้อนี้ คือ เมนูอาหารชาววังที่เป็นสูตรของพระวิมาดาเธอฯ ทั้งยำไก่อย่างเต่า แกงรัญจวน และน้ำพริกลงเรือ
ยำไก่อย่างเต่า เกิดจากการที่มีผู้นำอาหารมาถวายรัชกาลที่ 5 สันนิษฐานว่าอาจเป็นเนื้อเต่าหรือเนื้อตะพาบ เมื่อเสวยแล้วพระองค์ทรงติดใจอยากเสวยอีก พระวิมาดาเธอฯ จึงคิดแปลงใช้อกไก่ เครื่องใน ต้มกับน้ำกะทิ แล้วมายำกับเครื่องยำของไทย คือ กระเทียม ตะไคร้ ข่า หอม ใบมะกรูด พริกเผา ปรุงรสให้หวาน ซึ่งต่างจากยำทั่วไป และใส่ไข่ต้มไปด้วย ได้รสชาติที่อร่อย
แกงรัญจวน มีบันทึกว่ามาจากของเหลือคือ เนื้อวัว และน้ำพริกกะปิ พระวิมาดาเธอฯ จึงนำทั้ง 2 อย่างมาผสมกัน ใส่น้ำ ปรุงรส เมื่อกะปิโดนความร้อนก็จะมีกลิ่นหอม จึงตั้งชื่อว่า แกงรัญจวน ปัจจุบันมีการเปลี่ยนมาใช้เนื้อหมูแทนเนื้อวัว ส่วนน้ำพริกกะปิ ปรุงรสให้เข้มข้น ตั้งน้ำเดือด ใส่เนื้อหมูสไลด์บาง ตุ๋นกับกะปิให้เปื่อย กะปิจะซึมเข้าไปในเนื้อหมู ใส่ตะไคร้ ดับไฟ ใส่ใบโหระพา แล้วคนอีกหน่อยเป็นอันเสร็จ
นอกจากนั้น ยังมีเมนูอาหารอื่นๆ คือ กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา เต้าหู้ทรงเครื่อง และขนมโบราณอย่าง ขนมโคกะทิ
เมื่ออิ่มท้องกันแล้ว สถานที่สุดท้ายของทริป เที่ยวกรุงเทพ ของเรา ก็คือ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว บนถนนหลานหลวง ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ที่กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ และยังได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยามอีกด้วย
การเดินชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เราได้รับเกียรติจาก คุณฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร นักวิชาการชำนาญการพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ร่วมนำชมพร้อมให้ความรู้
ด้านในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ และของใช้ส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
แบบจำลองของการออกแบบสะพานพระพุทธยอดฟ้า สถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยใช้พระราชลัญจกรในการสร้าง
ห้องฉายภาพยนตร์ ที่จำลองบรรยากาศโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง ซึ่งเป็นโรงภาพยนตร์ปรับอากาศแห่งแรกในอาเซียน
พระราชหัตถเลขาสละพระราชอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญ รวมถึงการสละราชสมบัติ และพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรกของสยาม
ปิดท้ายด้วยการชม นิทรรศการหมุนเวียน “แรงบันดาลใจจากหนังสือทรงอ่าน” ที่รวบรวมหนังสือที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวสนพระทัยเป็นการส่วนพระองค์
และนี่ก็คือทริป เที่ยวกรุงเทพ ย้อนกาลเก่า เล่ารัตนโกสินทร์ ยินผ่านวรรณกรรม ผ่านสถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆมากมาย ที่ใครหลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน ต้องขอขอบคุณ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี สำหรับการเดินทางดีๆครั้งนี้