กลับมาอีกครั้งครับ กับ เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ไม่ง้อทัวร์ แบ็คแพ็คแบบครอบครัว ช่วงปิดเทอม หลังจากบทความแรก ขึ้นไป มีคนสนใจแชร์ และสอบถามมาเยอะ วันนี้ผมมารีวิวให้ชม สำหรับวันแรก ที่เดินทางไปถึง โตเกียว ซึ่งหลังจากที่เราไปถึง Ueno Station แล้ว สิ่งที่เราทำคือฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม คินูย่า 1 คืน เพื่อจะเดินทางไปพักที่ Sheraton Miyako Tokyo ก่อน ซึ่งการเดินทางไป เช็คอินที่โรงแรมเชอราตัน นั้น เรานั่งรถไฟ JR Yamanote Line ไปลงที่สถานี Meguro และต่อรถลีมูซีน หรือ Shuttle Bus ของโรงแรมไปอีก 5 นาที ก็ถึง เช็คอินก็ราวๆ บ่าย 2 ทำให้มีเวลาเหลือ เราก็เลยวางแผนว่าจะไปเที่ยวย่านชิบูย่าก่อน ซึ่งว่ากันว่า ที่นี่เป็นแหล่งแฟชั่น และเป็นย่านที่คนเดินเยอะ และที่ต้องไปเห็นให้ได้คือ ห้าแยกชิบูย่า หรือ ห้าแยกยุ่งเหยิง และ รูปปั้นสุนัขผู้ซื่อสัตย์ นามว่า ฮาจิโกะ และร้านเกี๊ยวซ่าชื่อดัง Gyoza no Ohsho
JR Ueno Station ถ้ามาจากสถานี Keisei Ueno ออกประตูทางซ้ายขึ้นมาก็จะเห็น JR อยู่ฝั่งตรงข้าม
ตลาด Ameyoko อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ JR Ueno Station ตึกที่เห็นนี้คือตึก Ameyoko Center เป็นห้างใหญ่ทีเดียว
โดยเริ่มจาก JR Ueno Station ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตลาดอาเมโยโกะ หรือถ้ามาจาก Keisei ก็อยู่ฝั่งตรงข้ามหาไม่ยาก เมื่อเข้าสถานีแล้ว ใครไม่มีตั๋วก็ไปซื้อที่ตู้ได้ สำหรับเรามี Suica Card ก็เดินเข้าไปที่ gate ได้เลย ให้สังเกตง่ายๆ ก็คือ ป้ายสีเขียวจะเป็นสาย JR แล้วก็มาดูว่า JR ไปวนซ้ายหรือขวา ดูจากแผนที่ของสถานีเอา ไม่ยากครับ เราเลือกไปวนตามเข็มนาฬิกา ซึ่งเป็นสายที่ไป Shinagawa และเราลงที่ Meguro ก่อน เพื่อไปเช็คอินที่โรงแรมเชอราตัน มิยาโกะ โตเกียว
ภาพภายในสถานี Meguro เดินออกประตู East Exit เพื่อไปต่อ Shuttle Bus ไปโรงแรมเชอราตัน มิยาโกะ
Shuttle Bus ของโรงแรม Sheraton Miyako Tokyo
ภาพภายในโรงแรม Sheraton Miyako Tokyo ห้องใหญ่น่าพัก เงียบสงบ ด้านหลังมีต้นไม้ใหญ่ เริ่มๆ เปลี่ยนสีบ้างแล้ว ที่นี่เหมาะกับคนที่ต้องการความเงียบสงบจริงๆ แต่การเดินทางลากกระเป๋าเองอาจจะไม่สะดวก แต่ก็ยังดี มีรถ Shuttle Bus รับส่ง ทั้ง ไป Meguro Station และ Shinagawa Station สอบถามเวลาได้ที่ PR โรงแรมได้เลย แต่ที่นี่ตรงเวลามากๆ ถึงเวลาจะออกรถทันที เยี่ยมมาก
ภาพด้านหน้าโรงแรม Sheraton Miyako Tokyo
หลังจากที่เช็คอินโรงแรมเรียบร้อยแล้ว เราเตรียมตัวเพื่อนั่งรถ Shuttle Bus ของโรงแรมออกไปที่สถานี Meguro เพื่อนั่ง JR Yamanote Line เพื่อต่อไปยังสถานี Shibuya อันเป็นไฮไลท์ของวันนี้กันต่อ (เราใช้ Suica Card แตะบัตรนั่งรถไฟตลอดการเที่ยวญี่ปุ่น เลยไม่ได้สนใจว่าแต่ละที่เราคาเท่าไหร่ครับ) สำหรับราคาแต่ละสถานีลองใช้ App ของ Hyperdia หรือดูจากเว็บได้ครับ http://www.hyperdia.com/en/
เที่ยวชิบูย่า (Shibuya) แหล่งแฟชั่น บันเทิง และช้อปปิ้ง
ห้าแยกชิบูย่า ถ่ายภาพจากบนสถานที JR Shibuya ช่วงบ่ายๆ
คนมาทำอะไรกันบนถนนละนี่ สังเกตดูว่า ห้าแยกนี้จะเต็มไปด้วยป้ายโฆษณาต่างๆ เยอะมากครับ
ชิบูย่า (Shibuya) เป็นแหล่งแฟชั่น ของวัยรุ่น วัยมหาวิทยาลัย ที่ชอบมาเดินช้อปปิ้งที่นี่ และที่เป็นเอกลักษณ์เลยก็คือ ห้าแยกชิบูย่า ที่คนมารอข้ามถนน ทีละมากๆ กลายเป็นดูยุ่งเหยิงไปหมด เพราะว่าเมื่อหยุดรอรถนานๆ แล้วเดินข้ามพร้อมๆ กัน เลยทำใหดูเยอะมาก วุ่นวาย แต่จริงๆ ก็นานๆ จะมีสักรอบนะครับ ที่เห็นในหนัง บางทีก็อาจจะต้องรอนานเหมือนกันจึงจะเห็นภาพคนเยอะๆ หรืออาจจะเป็นเพราะว่า เราไปช่วงบ่ายๆ คนอาจจะไม่เยอะเท่าไหร่ก็เป็นได้ และอีกอย่างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของ ชิบูย่า ก็คือ รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ นั่นเอง
รูปปั้น สุนัขฮาจิโกะ ที่ได้ชื่อว่าเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์มากที่สุด
ฮาจิโกะ เป็นสุนัขที่ได้ชื่อว่ากตัญญู จงรักภักดีต่อเจ้านายมาก เมื่อตอนที่ฮาจิโกะยังมีชีวิตอยู่จะมาส่งเจ้านายซึ่งทำงานเป็นอาจารย์ มหาวิทยาลัยในทุกเช้าที่สถานีรถไฟชิบูยา และจะมาเฝ้ารอเจ้านายกลับในตอนเย็น ฮาจิโกะทำแบบนี้อยู่ทุกวัน จนกระทั่งเจ้านายของฮาจิโกะได้เสียชีวิตลง ฮาจิโกะก็ยังเฝ้ารอเจ้านายกลับมาอยู่ทุกวันเป็นเวลาอีก 11 ปี ฮาจิโกะก็ได้เสียชีวิตลง ด้วยความกตัญญูต่อเจ้านายของฮาจิโกะชาวบ้านแถวนั้นได้สร้างอนุสาวรีย์ให้กับ ฮาจิโกะ (Hachi-ko Statue) และต่อมาได้มีการนำชีวิตจริงของฮาจิโกะไปสร้างเป็นหนัง (อ้างอิงจาก Emagtravel.com)
นอกจากสุนัขฮาจิโกะแล้ว ใกล้ๆ กันจะมี ตู้รถไฟสีเขียว ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Shibuya ด้วยเหมือนกัน ว่ากันว่า เป็นตู้รถไฟ ปลดประจำการ และกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนไปศึกษาความรู้ และข้อมูลเกี่ยวกับชิบูย่าได้ครับ
เดินห้าแยกชิบูย่า เป็นสิริมงคลร่วมกับชาวญี่ปุ่นกันสักหน่อย
อีกมุมหนึ่งในย่านชิบูย่า ที่แลดูสงบเป็นถนนส่วนที่ให้คนเดินเท่านั้น
และก็มาสะดุดที่ร้าน Pablo ที่มีสาวๆ ต่อแถวซื้อทาร์ตไข่ยักษ์กันเยอะมาก (ช่วงที่ไปก่อนวันฮาโลวีนพอดี ร้านในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ตกแต่งธีมฮาโลวีนเกือบทั้งโตเกียวเลยครับ)
หน้าตาทาร์ตไข่ยักษ์ และราคาประมาณนี้ครับ (ณ วันที่ 22 ตุลาคม 2557) ไว้ผมจะรีวิวให้ชมในหน้า food mthai อีกทีหนึ่งนะครับ
ไหนๆ ก็มาย่านนี้แล้ว ก็ถือโอกาสเก็บภาพสาวญี่ปุ่นมาฝากด้วย 1 รูปละกัน
และตบท้ายด้วย มากินข้าวเย็นกันที่นี่ ร้าน Gyoza no Ohsho ที่คนไทยหลายคนมาชิมแล้วบอกว่าอร่อย และก็อร่อยจริงๆ ครับ เพียงแต่พนักงาน พูดอังกฤษแทบไม่ได้เลย ต้องอาศัยภาษามือช่วยเยอะ แต่ก็ผ่านไปด้วยดี
หน้าตาเกี๊ยวซ่า และอาหารอื่นๆ ภายในร้าน อร่อยทุกอย่างจริงๆ ครับ แล้วผมจะรีวิวอีกครั้งในหน้า food mthai (อีกแล้ว)
ก่อนกลับแวะซื้อขนมหวาน ที่บริเวณห้าแยกฝั่งตรงข้ามสถานี JR Shibuya ชื่อร้าน Ginza Cozy Corner นี่ก็อร่อยและราคาไม่แพงครับ
ขนมตกแต่งในธีม ฮาโลวีนด้วย ราคารวม Vat แล้วก็ 378 เยนตกราวๆ ชิ้นละ 100 กว่าบาท
ก่อนขึ้นรถไฟ JR กลับไปสถานี Meguro แวะถ่ายรูปบริเวณที่มีรูป ฮาจิโกะ ติดผนัง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับรถไฟสีเขียว อีกครั้ง เสร็จแล้วก็นั่งรถไฟ JR กลับสถานี Meguro และนั่ง Shuttle Bus กลับโรงแรม Sheraton Miyaho Tokyo เพื่อพักผ่อน เตรียมพร้อมลุย วัดอาซากุสะ วันรุ่งขึ้นครับ แล้วติดตามอ่านกันได้ครับ
สรุปแล้ว มาที่ชิบูย่า ทำอะไรบ้าง
1. ชมบรรยากาศ ห้าแยกชิบูย่า (ออกจากสถานี JR Shibuya ก็จะเห็นแล้ว ถ้าให้ได้วิวดีๆ ให้ไปนั่งชั้น 2 ของร้าน Starbuks นะครับ)
2. กินกาแฟที่ Starbucks (สั่งกาแฟที่ชั้นล่าง แล้วเดินไปกินกาแฟ ชมวิวที่ชั้นบน)
3. นั่งรถไฟสีเขียว ที่เป็นพิพิธภัณฑ์ของ ชิบูย่า (อยู่ใกล้ๆ กับ รูปปั้น ฮาจิโกะ)
4. ทักทาย ฮาจิโกะ ถ่ายรูปสักหน่อย (เขาบอกว่าเอามือลืบหัวเจ้าสุนัขฮาจิโกะ แล้วจะได้กลับมาเยี่ยมอีก)
5. แนะนำร้าน Pablo ทาร์ตไข่ยักษ์ และ ร้าน Gyoza no Ohsho (อยู่ฝั่งตรงข้ามสถานี JR Shibuya เดินไปทางขวามือ ร้านอยู่ในซอยเล็กๆ สังเกตป้ายเอา)
6. ซื้อเครื่องสำอางค์ มีหลายร้านให้เลือก เยอะมาก