เมื่อเพื่อนชวนเก็บกระเป๋าไปเที่ยวบ้าน ไม่เคยปฏิเสธอีกตามเคย ใจง่ายจริงๆ งานนี้พูดเลย ว่าเป็นการไปเยือนแผ่นดินถิ่นอีสานครั้งที่ 3 ในชีวิต ที่ต้องนั่งรถจนตูดด้าน ยาวนานเป็นวันๆ แต่โคตรคุ้มค่า ได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น ได้สัมผัสกับอากาศทั้งหมอก ลม ฝน แดด จนกลับมาไม่สบาย ที่สำคัญเราได้รับประสบการณ์ “เสียว” ที่ชาตินี้ไม่ลืมแน่ๆ ยินดีที่ได้เจอกัน “จังหวัดชัยภูมิ”
ไปชัยภูมิ ชมหมอกหยอกกระเจียว พาเสียว 3 ผา 3 อุทยาน!
เรานัดกับเพื่อนเจอกันที่ชัยภูมิ ทริปนี้ 4 คน เราเดินทางจากตาก – พิษณุโลก – ชุมแพ – ชัยภูมิ (ต่อรถเป็นว่าเล่นเลย) ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 9 ชั่วโมง ตายๆๆ หลับแล้วหลับอีก หลับแล้วก็หลับอีก Zzzz
ส่วนเพื่อนเราอีก 3 คน นั่งรถทัวร์ กทม. – ชัยภูมิ 5 ชั่วโมงถึง อิจฉาจริงๆ แต่เราถึงก่อนเพื่อนๆ เพราะเดินทางตอนเช้าถึงค่ำ แล้วโทรให้ญาติเพื่อนมารับไปนอนอยู่บ้านตีพุงอย่างสบายใจ กิกิ เราเจอเพื่อนอีกทีก็ตอนเช้าอีกวันเลย เพราะเพื่อนเราเดินทางกลางคืน
การเดินทางเที่ยวชัยภูมิครั้งนี้ รวม 5 วัน 4 คืน (29 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2558)
- 30 ก.ค. 58 : ปรางค์กู่ – สวนดาวเรืองพรนับพัน – เขื่อนลำปะทาว
- 31 ก.ค. 58 : ผาสุดแผ่นดิน – ทุ่งดอกกระเจียว – ลานหินงาม (อช.ป่าหินงาม) / น้ำตกไทรทอง – ผาหำหด (อช.ไทรทอง)
- 1 ส.ค. 58 : ผาหัวนาค มอหินขาว (อช.ภูแลนคา)
เราจะขอเริ่มทริปในวันแรก : ปรางค์กู่ – สวนดาวเรืองพรนับพัน – เขื่อนลำปะทาว
เพื่อนเราบอกว่าใกล้ๆ บ้านมี “ปรางค์กู่” ปรางค์กู่คืออะไร สงสัยนะเนี้ย? เราเลยยืมมอเตอร์ไซค์แว๊นออกไปดู ไม่พึ่งแผนที่ ไม่พึ่ง google map อาศัยเพื่อนบอกทางอยู่ซ้ายมือ ขับๆ ไปก็เจอ ปรากฏว่าขับไปไม่ถึง 5 นาที เจอก็จริงๆ ช่างง่ายดาย ห้าา และนี่ก็คือ “ปรางค์กู่”
พิกัด : http://urll.us/yZfjpq
“ปรางค์กู่” เป็นโบราณสถานที่นับว่ามีความสมบูรณ์ที่สุดของชัยภูมิ เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มอาคารที่มีแผนผังและลักษณะเดียวกับปราสาท เชื่อกันว่าปรางค์กู่แห่งนี้เป็น “อโรคยาศาล” หรือสถานพยาบาลที่สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ช่วงระหว่าง พ.ศ. 1724-1763
มีปรางค์ประธานอยู่ตรงกลาง 1 องค์ มีวิหารหรือบรรณาลัยด้านหน้า 1 หลัง ทั้งหมดถูกล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาและซึ่งมีโคปุระ หรือซุ้มประตูอยู่ที่ด้านหน้า ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นด้วยศิลาแลง เว้นก็แต่กรอบประตู หน้าต่าง ทับหลัง และเสาประดับที่เป็นหินทราย
ภายในปรางค์ประธานทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาปางสมาธิ ศิลปะแบบทวาราวดีซึ่งเป็นของที่เคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น ชาวชัยภูมิให้ความเคารพศรัทธามาก
ข้อมูล : http://urll.us/RNpske
เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ ไหว้พระ ถ่ายภาพ ได้สักพัก เพื่อนก็โทรตามให้กลับบ้าน เพราะวันนี้พ่อจะพาไปเที่ยว เย้ !! แต่การเที่ยวในวันนี้ เป็นอะไรเอ็กคูลซีฟมาก เพราะพ่อจะพาไปดูไร่สับปะรดและการเลี้ยงปลาในกระชังที่เขื่อนลำปะทาวตื่นเต้นสิคะ
แต่ก่อนจะไปถึงเขื่อน ระหว่างทางเราเจอสวนดาวเรืองสีเหลืองอร่ามงามสง่ามาแต่ไกล แวะสิคะ กับ “สวนดาวเรืองพรนับพัน” ที่นี่อยู่ระหว่างทางไปมอหินขาว ฝั่งขวามือ มีสวนเดียวสังเกตได้ง่ายๆ เลย อีกไม่นานที่นี่จะมีร้านกาแฟ เขากำลังสร้างอยู่ใกล้เสร็จแล้ว ถ้ามีโอกาสคงได้มาลอง
ตอนทำนาข้าชื่อดาวเรือง พอเข้าในเมืองชื่อช่างเฟื่องเลื่องลือ :”)
นี่เราคิดมาตลอดมาชัยภูมิต้องร้อนแน่ๆ เปล่าเลย อากาศที่นี่เย็นสบาย ทั้งๆ ที่ 11.00 น. แล้ว
เราโชคดีมากที่วันนี้มีแม่ค้ามารับซื้อดอกดาวเรืองถึงสวน เลยขอแจมเป็นลูกมือด้วยคน ได้ความรู้ด้วยนะ การตัดดอกดาวเรืองจะใช้กรรไกรตัดด้ายตัด เพราะถ้าเด็ดดอกจะไม่ขึ้นอีกวิธีการคัดเลือกดอก ให้ดูดอกที่ตรงกลางไม่มีสีเขียวๆ จะได้ดอกไซส์จัมโบ้ หรือมีนิดหน่อยก็ถือว่าเป็นอันใช้ได้
หลังจากตัดดอกดาวเรืองได้หลายถุง ติดใจสิคะ กลับบ้านไปจะลองปลูกเลย ไม่รู้จะสวยเหมือนสวนที่นี่มั้ยน้า เมื่อภาระกิจเสร็จสิ้น หิวสิคะ เที่ยงแล้ว เราแวะกินส้มตำข้างทาง จัดว่าเด็ดมาก ข้างทางจริงๆ นะ ติดถนนเลย
กินเสร็จเดินทางต่อค่ะ เรามุ่งหน้าไปเขื่อนลำปะทาว อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 35 กิโลเมตร ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 2051 ไปทางอุทยานแห่งชาติตาดโตน ก่อนถึงด่านเก็บค่าธรรมเนียม ประมาณ 500 เมตร มีทางแยกเลี้ยวซ้ายไปเขื่อนลำประทาว (ป้ายบอกทางเดียวกับไปมอหินขาว) ที่ตำบลเก่าย่าดี ระยะทาง 17 กิโลเมตร
ระหว่างทางจะพบสวนลำไย ไร่สับปะรด และมันสำปะหลังตลอดสองข้างทาง ที่นี่เป็นแหล่งเลี้ยงปลาในกระชังด้วย มองเห็นภูเขาเขียวๆ กับน้ำในเขื่อน วิวดีจริงๆ เราชอบมาก
เขื่อนลำปะทาวเป็นเขื่อนดินขนาดเล็ก เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจแห่งหนึ่งของคนที่นี่เลย ก็สวยขนาดนี้ไม่มาได้ไง :”) พี่น้อยคนดูแลสวนและกระชังปลาใจดีให้เรานั่งเรือไปดูการจับปลาในกระชัง เสียวเลยว่ายน้ำก็ไม่เป็น ชูชีพก็ไม่มี แต่ด้วยความอยาก…ยอม
เราชอบนะ ได้มาสัมผัสชีวิตแบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสกันง่ายๆ เจอ ปลา เป็ด ไก่ ยันควาย เริ่ดอ่า ห้าาา เราได้ช่วยพี่จับปลานิลด้วยตัวหนึ่งน้ำหนักประมาณ 9 ขีด หนักใช่เล่นนะ (จริงๆ ช่วยจับถุงใส่ปลามากกว่า)
ก่อนกลับ … ขอมองวิวสวยๆ ของเขื่อนลำปะทาวอีกครั้ง
วันที่สอง
ผาสุดแผ่นดิน – ทุ่งดอกกระเจียว – ลานหินงาม (อช.ป่าหินงาม),
น้ำตกไทรทอง – ผาหัมหด(อช.ไทรทอง)
วันนี้แหละไฮไลท์รออยู่ พวกเราตื่นกันตั้งแต่ตี 4 แหกขี้หูขี้ตาตื่นกันเลยจ้าา ฝนก็ต้องตลอดคืน ระหว่างออกเดินทางก็ตกปอยๆ ตลอด ใจไม่ดีเลย กลัวเที่ยวไม่สนุก แต่แล้วเมื่อเราเดินทางไปถึงอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ฟ้าฝนก็เป็นใจ หลงเหลือไว้แต่หมอกขาวๆ ที่อุทยานแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมด 3 แห่ง ได้แก่ ผาสุดแผ่นดิน ทุ่งดอกกระเจียว และลานหินงาม
พิกัด : http://urll.us/HYia3S
07.30 น. อากาศเย็นดีนะ อภิมหาหมอกมาก ตื่นเต้นอ่า >.<
เราซื้อตั๋วรถราง เด็ก 20 บาท ผู้ใหญ่ 30 บาท วันนี้คนมาเที่ยวกันแต่เช้า คึกคักมากอ่ะ บางคนก็มากางเต๊นท์นอนค้างที่นี่เลย ที่จอดรถโอเคนะ มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลให้บริการตลอด สะดวกดี ในรถรางจะมีน้องๆ มัคคุเทศก์ตัวน้อยๆ มาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่เราจะไป น่ารักมากๆ เลย ที่แรก “ผาสุดแผ่นดิน” ดินแดน 3 ภาค อีสาน – กลาง – เหนือ
เดินเข้าไปนิดเดียวก็จะเจอลานหินปุ่มป่ำ ผิวขรุขระ เหมือนอยู่บนดาวอังคาร
และแน่นอนที่สุด “ของสุดแผ่นดิน” ถามว่ากลัวมั้ย…กลัวมากกก แต่ยิ้มสู้ ^________^
สิ่งที่เราคิด กับสิ่งที่เราเจอ !!! คือต้องต่อคิวถ่ายกันเลย
กับเพื่อน
จากนั้นเราก็เดินไปด้านซ้ายมือเพื่อไปดูดอกกระเจียวไฮไลค์ของวันนี้ จะมีเยอะมั้ยน้าาา? ระหว่างทางมีนักท่องเที่ยวร่วมเดินเท้าไปกับเราเยอะเลย รวมทั้งคุณยายคนนี้ด้วย นับถือเลย ของแบบนี้ไม่เกี่ยวกับอายุ มันอยู่ทีใจ
เดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็จะเจอทุ่งหญ้าสีเขียวๆ กับหมอกขาวๆ แต่ยังไม่เจอดอกกระเจียว ปีนี้อย่างที่รู้ๆ กัน แล้งมาก เข้าหน้าฝนช้ากว่าปกติ ทำให้ดอกกระเจียวพลอยออกดอกช้าไปด้วย
สักพักเราก็เจอดอกกระเจียวกลุ่มแรกแล้วค่ะ อากาศดีจริงๆ เลย ช่วงที่เจอดอกกระเจียวมากที่สุดจะอยู่กลางทาง นอกนั้นต้นทางกับปลายทางจะมีประปรายค่ะ
หมอกหยอกกระเจียว.
เราชอบภาพนี้มาก ให้มันเป็นสีชมพูวววววว
สำหรับการเที่ยวชมทุ่งดอกกระเจียว เขาจะมีไม้กั้นไม่ให้เดินออกนอกเส้นทางนะคะ เพื่อป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวเหยียบดอกกระเจียว แต่ก็มีบางคนมีกฏไว้ให้แหก จนเจ้าหน้าที่ต้องเป่านกหวีด เป่าแล้วเป่าอีก เหนื่อยแทน
ยังไงก็อย่าลืมทำตามกฏด้วยนะคะ เพื่อที่เราจะได้เห็นดอกกระเจียวและธรรมชาติที่สวยงามแบบนี้ไปนานๆ (ปรบมือให้กับความเป็นนางเอกของเราหน่อยค่ะ ตึ่งโป๊ะ !!)
ชมหมอกหยอกกระเจียวกันอย่างจุใจไปแล้ว สถานีถัดไป “ลานหินงาม”
นั่งรถรางมาได้สักพัก ก็ถึงลานหินงามแล้วค่ะ เดินขึ้นเนินมาเรื่อยๆ จะพบศาลเจ้าพ่อชุมพล และมีร้านขายอาหาร
ลานหินงามมีพื้นที่ 10 ไร่ ค่ะ ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็เดินทั่วแล้ว ลักษณะของหินเหล่านี้เกิดจากการกัดเซาะของลมและน้ำต่อหินทรายในส่วนที่จับตัวกันเบาบางหลุดออกไปเป็นเวลานับล้านปี จึงเกิดเป็นหินรูปร่างสวยงาม แปลกตา
บริเวณพื้นล่างมีพุ่มไม้เตี้ยๆ หายากหลายชนิด เช่น มอส ไลเค้นส์ ข้าวตอกฤาษี และเฟิร์นหลายชนิด ที่นี่มีหินแปลกๆ เยอะ ได้แก่ หินฟีฟ่า หินปุงลิงค์ หินแม่ไก่ยักษ์ หินปราสาท หินช้างเอราวัณ หินจานเรดาร์ และหินถ่ำมอง
ที่เห็นอยู่ไกลๆ คือ “หินฟีฟ่า” ค่ะ ถ้าอยากถ่ายภาพ ณ จุดนี้ ต้องปีนนะคะ หินเป็นหินทรายลื่นมาก ระวังด้วยค่ะ
ที่เห็นคนเยอะๆ นี่ “หินถ้ำมอง” ค่ะ
และนี่คือ “หินแม่ไก่ยักษ์” สังเกตจากรูปทรง ด้านซ้ายจะเป็นหัวและปากยื่นออกมา ด้านขวาเป็นหางไก่ค่ะ
ต้นไม้แปลกๆ พุ่มเตี้ยๆ เยอะจริงๆ ต้นไม้ใหญ่แทบไม่มี และอากาศเริ่มร้อน แนะนำให้ทากันแดด หรือใส่เสื้อแขนยาวบางๆ ไม่งั้นดำแน่ๆ น้องๆ มัคคุเทศก์บอกว่า ตามความเชื่อใครไม่มีคู่ ให้เอามือลูบที่หิน ลูบขึ้นหรือลูบลง แต่ห้ามลูบขึ้นลูบลงนะคะ ห้าาา ไอเรานี่แค่ลูบมันเบาไป โอบเลยจ้าาาา ><
ขากลับเราไม่ได้นั่งรถรางนะ แต่เป็นรถพ่วง รถพ่วงจริงๆ อารมณ์สิบล้อทำเป็นม้านั่งยาวๆ สามแถว ฟิวแบบ…ได้มากกก น้องมัคคุเทศก์ก็บรรยายไปตลอดทาง
น้องมัคคุเทศก์ : อาหารขึ้นชื่อของชัยภูมิคือ “หม่ำ” ครับ ไม่ใช่หม่ำจ๊กมกนะครับ (ถึกโป๊ะ !!)
น้องมัคคุเทศก์ : ต้นไม้ที่ทุกท่านเห็นอยู่นี้ชื่อ “ต้นดูไบ” ครับ สาเหตุที่เรียกแบบนี้เพราะ ต้นไม้ไม่มีดอกครับ “มีแต่ใบ”(ถึกโป๊ะ !!) ณ ตอนนั้นจังหวะน้องได้มากค่ะ พี่ขำหนักมาก ><
ออกมาด้านนอก จะมีร้านขายของที่ระลึกเต็มสองข้างทาง และยิ่งสายคนก็ยิ่งเยอะ ดีนะที่เรามากันตั้งแต่เช้า ประทับใจมากตรงที่ได้เห็น “หมอกหยอกกระเจียว” นี่แหละ :”)
ในช่วงบ่ายเราหาข้าวกินระหว่างทาง แล้วไปต่อที่อุทยานแห่งชาติไทรทอง ที่นี่มีตกไทรทอง ทุ่งบัวสวรรค์หรือทุ่งดอกกระเจียว และผาหัมหด มาถึงแล้วจอดรถเดินไปที่ทางเข้าเลยค่ะ มีต้นสนสองข้างทาง เห็นแล้วอยากไปปางอุ๋งเลย และดินแทบนี้จะเป็นดินแดงค่ะ
\พิกัด : http://urll.us/kMQIgP
ในวันหยุดแบบนี้เราจะเห็นหลายครอบครัวพากันมาเที่ยวที่นี่ค่ะ เดินไปไม่ไกลก็จะเจอทางลงไปชมน้ำตกไทรทอง
คือฝนตกไง น้ำนี่สีกาแฟเลยยยย >< น้ำตกไทรทองสูงประมาณ 5 เมตร กว้าง 80 เมตร เหนือน้ำตกขึ้นไปมีวังน้ำขนาดใหญ่ เรียกว่า “วังเงือก” แล้วไหลลงตามความลาดชันของลานหินลงสู่น้ำตกไทรทองยาวประมาณ 150 เมตร
ที่เรียกว่าน้ำตกไทรทอง เพราะ ข้างๆ น้ำตกมีต้นไทรขนาดใหญ่ค่ะ (เราเดาเอาเอง ห้าา) และนี่ก็คือรากต้นไทรที่เราต้องเดินผ่านเป็นทางเข้าออกของน้ำตก
ขากลับเราแวะลงไปดูต้นไม้พันปีค่ะ ภาพนี้ถ่ายจากสะพานข้ามลำธาร
ถึงแล้ว เดินเข้าไปจากทางหลักประมาณ 100 เมตร ก็จะพบกับต้นไม้พันปีหรือต้นกระบากนั่นเอง
จากนั้นเราขับรถไปที่ผาหัมหดค่ะ ฝนตกน้ำป่าเลยไหลหลากนิดหน่อย ประมาณ 2-3 ฟุต ต้องลุยขึ้นไป พอไปถึงด้านบนจะเจอแก๊งมอไซค์หาเห็ดของชาวบ้านค่ะ เรางงอยู่ๆ เก็บเห็ดในอุทยานแบบนี้ไม่ผิดกฏหมายหรอ? ด้านบนที่จอดรถ เจอคาราวานจักรยาน Bike For Mom ค่ะ เริ่ดอ่า ปั่นมาถึงนี่เลยหรอเนี้ย
มาถึงตรงนี้จะเจอผาพ่อเมือง ผาน้องเล็กด่านแรก กับจุดชมวิวสวยๆ และเราต้องเดินขึ้นไปอีก 230 เมตร ถึงจะเจอผาหัมหด แล้วถ้าเดินต่อไปอีกจะเจอทุ่งบัวสวรรค์หรือทุ่งดอกกระเจียวค่ะ
และแล้ว…ก็ถึงสถานที่ทดสอบความเสียวของคุณผู้ชายค่ะ กับผาที่ 2 ที่เราได้มาเหยียบ “ผาหัมหด” ซึ่งอยู่บนเทือกเขาพังเหย เป็นแผ่นหินยื่นออกไปนอกหน้าผา สูงจากระดับน้ำทะเล 864 เมตร และด้วยความสูงบวกกับความเสียว ใครได้ไปยื่นเป็นอันต้องเสียวจน….หดกันหมดค่ะ ห้าา
ชื่อนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ตั้ง ถือว่ามีความสำคัญและได้อธิบายคำว่า ‘หัม’ เป็นภาษาอีสาน ไม่หยาบคาย คนแก่คนเฒ่าแถวอีสานมักจะเรียกเด็กๆ ผู้ชายที่มีบุคลิกหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูว่า “บักหำ”
ถ้าถามว่าเสียวมั้ย ฉันตอบเลยว่า “มาก”
แต่มาถึงที่นี่แล้ว ใจต้องกล้า ไม่งั้นไม่ได้ชอตเด็ดแบบนี้ ที่สำคัญมันอันตราย ระวังกันด้วยนะคะ
หมดไปอีกหนึ่งวัน ใช้พลังงานในการเดินมากซะด้วย ต้องเติมพลังค่ะ ค่ำนี้เลยไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน ชัยภูมิ เปิดทุกวัน ของกินเยอะมาก อร่อยอ่า ติดใจหมึกย่างสูตรเมียทำเอง ของคุณลุ’ ขายแค่ไม้ละ 5 บาท แม่เจ้า ที่สำคัญน้ำจิ้มโคตรเด็ดอ่ะ !!
วันที่สาม : ผาหัวนาค มอหินขาว (อช.ภูแลนคา)
วันนี้ตื่นสายค่ะ หมดพลัง ห้าา จุดหมายวันนี้วันสุดท้ายแล้ว ผาหัวนาค และมอหินขาว อุทยานแห่งชาติภูแลนคา พรุ่งนี้ก็เตรียมตัวเก็บกระเป๋ากลับบ้าน ไม่อยากจะคาดคิดเลย เราเดินทางถึงอุทยานช่วงบ่ายๆ แต่ด้วยฝนที่ตกมาก่อนหน้า ทำให้เจอ “หมอก” อีกแล้ว วันสุดท้ายนี่ก็เด็ดพูดเลย อิจฉาคู่นี้หวานตลอด
พิกัด : http://urll.us/Dihbn3
ถึงลานจอดรถ ลุยสิคะ ไปดูผาหัวนาคกัน
ม่านเมฆ
ระหว่างเราเดินขึ้นไป เจอคนมาถ่ายเวดดิ้งด้วย ไฟท์น้อ วันนี้หมอกลง คงได้บรรยากาศไปอีกแบบ
อย่างที่เราบอกไว้ ว่าจะพาไปเสียว 3 ผา 3 อุทยาน ในที่สุดเราก็ทำสำเร็จแล้ว กับผาสุดท้าย “ผาหัวนาค” หมอกลงหนามาก ทั้งๆ ที่เวลาบ่ายสาม บวกกับลมพัดหมอกมากระแทกหน้า ฟินสิคะ !! และภาพนี้ มุมนี้ เราชอบที่สุด :”)
หลังจากที่ฟินจนพอใจแล้ว เราก็เดินทางไป “มอหินขาว” ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน ตามตำนานเล่าว่า มีคนเห็นก้อนหินใหญ่ 5 ก้อน ที่ในทุกคืนวันพระจะมีแสงสีขาวส่องขึ้นมา =คนเฒ่าคนแก่สมัยนั้น เลยเรียกที่นี่ว่า มอหินขาว สโตนเฮนจ์เมืองไทย และที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องพระนเรศวรมหาราช
มอหินขาว มีกลุ่มหินอยู่หลายกลุ่ม หินชุดแรก คือ “เสาหิน 5 ต้น” เป็นหินที่มีความสูง ประมาณ 12 เมตร จำนวนหนึ่งใน 5 มีต้นหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ขนาด 22 คนโอบ เสาหิน 5 ต้นนี้นับเป็น เสาหินที่เด่นที่สุด และเป็นไฮไลต์ของการมาเที่ยวมอหินขาว
เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ถึง 17.00 น. แล้วเดินทางกลับไปตัวเมือง ระหว่าทางเจอตลาดนัดเย็นจ้า แวะเลยๆๆ หิวมาก ที่นี่ก็จะขายของทั่วไป มีทั้งของสด ผัก และอาหารต่างๆ
และมาอีสานทั้งที ต้องแวะซื้อของขึ้นชื่อของที่นี่ นั่นก็คือ “หม่ำ” เราซื้อทั้งหม่ำเนื้อ และหม่ำหมู หม่ำ ทำจากเนื้อหมูหรือเนื้อวัว ตับ กระเทียม เหมือนไส้กรอก ต่างกันที่ส่วนผสมและรสชาติที่ออกเปรี้ยวอมมัน ต้องเอาไปปิ่ง ทอด หรือเข้าเวฟ ราคานี่ไม่ถูกเลยนะคะ หม่ำเนื้อชิ้นละ 50 บาท หม่ำหมู 4 ชิ้น 100 บาท ไงหล่ะกระเป๋าแฟบอีกละ
สำหรับการมาเยือนอีสานครั้งที่ 3 ของเรา รู้สึกแปลกใหม่ดีนะ เที่ยวได้คุ้มค่ามาก ก่อนหน้านี้รู้แค่ว่าชัยภูมิมีทุ่งดอกกระเจียวกับผาหัมหดเอง ไม่คิดว่าชัยภูมิจะมีที่เที่ยวเยอะและสวยขนาดนี้ ชัยภูมิจึงเป็นอีกที่ที่เราอยากแนะนำให้ลองมาเที่ยวดู แล้วจะหลงรัก
ขอบคุณครอบครัวยุทธโกมินทร์ ที่ต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี ขอบคุณพื่อนๆ ที่ทำให้ทริปนี้สนุก สุข มันส์ มีสีสัน และได้ลุยไปด้วยกัน
สำหรับเรา.. ชีวิตมีความหมายอีกครั้ง เพราะ “การเดินทาง” แล้วความหมายของชีวิตคุณล่ะ คืออะไร? ลองออกเดินทางสักครั้ง คุณอาจค้นพบสิ่งที่ตามหามาตลอดก็ได้ ป๊ะ !! แค่ “เก็บกระเป๋า”
ติดตามการท่องเที่ยวที่อื่นๆ เพิ่มเติม ได้ที่
- Page : https://www.facebook.com/kepkrapao
- Facebook : https://www.facebook.com/supaporn.jainoon
- IG : https://www.instagram.com/kepkrapao
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ https://www.facebook.com/kepkrapao