ถ้าเราคิดถึงประเทศอินโดนีเซีย ก็มักจะคิดถึงจาการ์ตาที่เป็นเมืองหลวงเมืองท่องเที่ยว และอีกสิ่งหนึ่งที่เราจะลืมเสียไม่ได้ก็คือ ธรรมสถาน บุโรพุทโธ หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหรรศจรรย์ของโลก ซึ่งตั้งอยู่ในภาคกลางของเกาะชวา ห่างจากยอกยาการ์ตาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 40 กิโลเมตร สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 1293 – 1393 โดยบุโรพุทโธเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ถ้าไม่นับนครวัดของกัมพูชาซึ่งเป็นทั้งศาสนสถานของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและ ศาสนาพุทธ บุโรพุทโธจะเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในปีพ.ศ. 2534 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้บุโรพุทโธเป็นมรดกโลก
บุโรพุทโธ ( Borobudur ) บุโรพุทโธ หรือ บูโรบูดูร์ หรือ ที่ชาวชวาเขียนว่าบาราบูดูร์ (Barabudur) เป็นภาษาสันสกฤต โดยคำว่า Bara มาจากคำว่า Biara มีความหมายถึงวิหาร (Vihara) หรือวัด ส่วนคำว่า Budur มีความหมายว่า ภูเขาสูงเมื่อรวมกันจึงหมายถึง วิหารที่สร้างขึ้นบนภูเขาสูง
บุโรพุทโธ เป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ นิกายมหายาน มีความเก่าแก่และความศรัทธาของชาวชวา ในประวัติยุคหนึ่งแห่งกษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทรา จนทุกวันนี้หากใครเดินทางมาอินโดนีเซียก็ต้องมาเยือนพุทธสถานบุโรพุทโธ
จากเมืองย็อกยาหรือย็อกยาการ์ตาไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 40 กิโลเมตรเศษ เป็นที่ตั้งของบุโรพุทโธที่ทำด้วยหินแอนดีไซต์ (Andesite) ซึ่งเป็นหินภูเขาไฟขนาดใหญ่มหึมา สูงประมาณ 15 เมตร ภายนอกเป็นรูปทรงดอกบัวอันเป็นสัญลักษณ์ชองพุทธศาสนา ตามหลักฐานในประวัติศาสตร์ รอบๆ พุทธสถานบุโรพุทโธเป็นที่ลุ่มโดยล้อมรอบด้วยน้ำที่ท่วมมาจากแม่น้ำโปรโก (Progo River) จึงเปรียบได้ว่าเจดีย์โบราณบุโรพุทโธประหนึ่งดอกบัวลอยอยู่ในน้ำ
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม ของบุโรพุทโธแสดงออกถึง ความเป็นอัจฉริยะสูงสุดทางศิลปะสมัยไศเลนทรา ที่ต่างไปจากโบราณสถานทุกแห่งในชวา ประวัติการก่อสร้างมีอยู่ว่า ในปี ค.ศ. 732 กษัตริย์ชวาราชวงศ์สัญชัย (Sanjaya) ซึ่งนับถือศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) ที่มาจากอินเดียในยุคนั้น ราชวงศ์ไศเลนทรานับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน จึงก่อสร้างโบสถ์ วิหาร และเจดีย์ไว้หลายแห่ง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือเจดีย์บุโรพุทโธซึ่งกษัตริย์วิษณุแห่งราชวงศ์ไศเลนทรา ทรงเริ่มสร้างขึ่นในปี ค.ศ. 775 จนกระทั่งมาเสร็จสมบูรณ์ในสมัยของกษัตริย์อินทราเมื่อปี ค.ศ. 847 ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 70 ปีเศษ
ศิลปะ ฮินดู-ชวา สามารถสร้างสรรค์ ความมหัศจรรย์ของบุโรพุทโธเกิดจากความด้วยรูปแบบและ รายละเอียดของศิลปะจากความคิดของช่างในสมัยนั้น เป็นศิลปะชวาภาคกลาง สะท้อนศิลปะอินเดียและอินโดนีเซียผสมผสานกันอย่างลงตัว
บุโรพุทโธ มีลักษณะสำคัญคือ เป็นสถาปัตยกรรมที่มีสถูปตั้งอยู่บนพีระมิดทรงขั้นบันได ซึ่งสูงกว่า 42 เมตรจากฐาน
บุโรพุทโธ มีทั้งหมด 10 ชั้น ซึ่งแต่ละชั้นจะมีภาพสลักนูนต่ำแสดงคติธรรมทางพุทธศาสนาด้วยทัศนคติเกี่ยว กับจักรวาลตามพุทธศาสนาและการเข้าสู่นิพพาน 6 ชั้นนับจากฐานเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมแบบย่อมุม คล้ายพีระมิดขั้นบันไดชั้นที่ 7 เป็นฐานวงกลมขนาดใหญ่
ขึ้นไปอีก 3 ชั้น ประดับเจดีย์ทรงระฆังโปร่งฉลุลายเป็นรูปสี่แหลี่ยมข้าวหลามตัด ครอบองค์พระพุทธรูปองค์เล็กข้างใน ส่วนนี้ มีความเชื่อกันว่าหากยื่นมือไปจนถึงและสัมผัสพระพุทธรูปภายในได้พร้อม อธิษฐานแล้วจะสมหวังและโชคดี เจดีย์เหล่านี้มีจำนวน 72 องค์ เรียงเป็นแนวล้อมรอบสถูปของชั้นที่ 10 ซึ่งมีลักษณะเป็นฐานวงกลมใหญ่ของเจดีย์องค์ประธานสูง 150 ฟุต เดิมเคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอยู่ข้างใน แต่ปัจจุบันว่างเปล่า
บุโรพุทโธ เปรียบเสมือนศูนย์กลางของจักรวาล แบ่งได้เป็น 3 ชั้น คือ ส่วนฐานของเจดีย์เป็นขั้นบันไดใหญ่ 4 ขั้น โดยรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมกำแพงรอบฐานมีภาพสลักนูนต่ำราว 160 ภาพอยู่ในส่วนกามาฐานหรือขั้นที่มนุษย์ยังผูกพันอย่างใกล้ชิดกับความสุขทาง โลกและถูกครอบงำด้วยกิเลสตัณหา ส่วนที่ 2 คือส่วนบนของฐานที่มีขั้นบันไดรูปกลม ฐาน 6 ขั้นที่มีรูปสลักนูนต่ำเกือบ 1,400 ภาพ ที่แสดงพุทธประวัติ ถือเป็นขั้นรูปธาตุ หรือ ขั้นที่มนุษย์หลุดพ้นจากกิเลส ทางโลกมาได้บางส่วน และส่วนที่ 3 คือส่วนของฐานกลมที่มีเจดีย์เล็กๆ 3 ชั้นล้อมรอบสถูปองค์ใหญ่ที่สุด หมายถึงจักรวาล คือ ขั้นอธูปธาตุ ที่มนุษย์ไม่ผูกพันกับทางโลกอีกต่อไป
ในชั้นอธูปธาตุนี้สร้างเป็นฐานระเบียงวงกลม 3 ชั้นมีเจดีย์ทรงระฆังโปร่งฉลุลายเป็นช่องสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดเรียงรายโดย รอบ ชั้นบนสุดเป็นฐานวงกลมใหญ่ของเจดีย์องค์ประธาน ตั้งอยู่กึ่งกลางของสถูป ด้วยลักษณะของเขาพระสุเมรุมาตามปรัชญาทางศาสนาที่ว่าพื้นฐานเจดีย์คือ โลกมนุษย์ที่ยังเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ส่วนยอดสูงสุดคือ ชั้นสรวงสวรรค์หรือนิพพานในคติความเชื่อของศานาพุทธ
บุโรพุทโธ ถูกทิ้งร้างเป็นป่ารกมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 และประสบกับภัยธรรมชาติคือแผ่นดินไหว จนจมอยู่ใต้เถ้าถ่านของภูเขาไฟซึ่งระเบิดอย่างต่อเนื่อง กระทั่งศตวรรษที่ 20 ยังเกิดน้ำท่วมซ้ำจากเหตุการณ์ฝนตกต่อเนื่องจนจมอยู่ในน้ำลึกถึง 3 เมตร เป็นเหตุให้ดินภูเขาไฟที่ครอบสถูปบุโรพุทโธอยู่ชื้นแฉะจนทรุดตัว ทำให้โบราณสถานแห่งนี้ทรุดตัวตามไปด้วย กระทั้งสแตมฟอร์ด แรฟเฟิลส์ ผู้ถูกส่งมาประจำการเป็นผู้สำเร็จราชการของอังกฤษเพื่อปกครองอาณานิคมชวาใน ช่วงนั้น ได้เห็นความสำคัญของบุโรพุทโธจึงเริ่มบูรณะขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1855 และสามารถเริ่มเปิดให้ผู้คนทั่วโลกเข้ามาเยี่ยมชม ต่อมาอินโดนีเซียได้ขอความช่วยเหลือจากองค์การยูเนสโกในการบูรณะอย่าง ละเอียดอีกหลายครั้ง เพื่อที่จะแก้ปัญหาโครงสร้างที่เป็นโพรงเพราะภูเขาดินภายในทรุดถล่มจาก สาเหตุอุทกภัย การบูรณะแล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1983 ด้วยงบประมาณ 25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ในบริเวณบุโรพุทโธมีพิพิธภัณฑ์เก็บข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การก่อสร้าง และความเป็นมาเมื่อองค์การยูเนสโกของสหประชาชาติเข้าไปช่วยบำรุงรักษาบุโรพุ ทโธไว้เพื่อไม่ให้ล่มสลายไปกับกาลเวลา รวมทั้งภัยที่เกิดจากน้ำท่วมขังเนื่องจากการก่อสร้างบุโรพุทโธเดิมไม่มีการ วางระบบระบายน้ำที่ดีพอ ทำให้พุทธสถานแห่งนี้ทรุดลงเรื่อยๆ ยูเนสโก้เข้าไปจัดการทำช่องทางระบายน้ำและเสริมฐานเจดีย์ให้แข็งแรงมั่นคง
ขึ้นนอกจากพิพิธภัณฑ์นี้แล้ว ยังมีรถไฟเล็กบริการพาชมบริเวณรอบๆ บุโรพุทโธทุกๆ 10 นาที ค่ารถไฟคนละ 1,000 รูเปียห์ คงเป็นการดีหากมีโอกาสไปเยือนพุทธศาสนาสถานแห่งนี้ในวันวิสาชบูชา เพราะจะมีพระสงฆ์และนักแสวงบุญทั่วสารทิศมาแสวงบุญโดยการเดินทักษิณาวัตร ตั้งแต่ประตูใหญ่ด้านทิศตะวันออกซึ่งกว่าจะถึงยอดก็รวมระยะทางทั้งสิ้นราว 5 กิโลเมตรนับเป็นภาพที่งดงามจับตามากสำหรับศาสนิกชนชาวไทย
ก่อนเข้าชมพุทธสถานบุโรพุทโธ จะต้องนุ่งผ้าบาติกเพื่อให้ทราบว่าใครเป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือนไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือหญิงก็ต้องปฏิบัติเหมือนกัน
ภายนอกมีรถม้าให้นั่งชมเขตภายนอกไม่ได้เข้าไปในส่วนพุทธสถาน
ภายนอกบริเวณมีร้านขายของที่ระลึก
และของเล่นต่างๆ เหมือนตลาดนัดบ้านเรา
นักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายภาพกันทั่วทุกมุม
มีไกด์ชาวอินโด คอยให้คำแนะนำ และเป็นช่างภาพจำเป็นโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ชื่นชอบการถ่ายภาพอัพเดทลง Social media ต่างๆ
ยิ่งสูงวิวของบุโรพุทโธยิ่งสวยเหมาะที่จะถ่ายภาพเก็บไว้
วิวจากด้านบน
ตอนกลับลงมาจะมีพ่อค้าแม่ค้าเข้ามาขายของที่ระลึกเยอะมาก และถ้ารู้ว่าเราเป็นคนไทยเขาก็จะบอกราคาเป็นภาษาไทยทันที และตื้ออย่างไม่ลดละ แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่น่ารักเมื่อได้ยินเสียงพ่อค้าแม่ค้าพูดภาษาไทย
……………………………………………………………………………………………………..
ถนนมาลิโอโบโร ยอกยาการ์ต้า อินโดนีเซีย
หลังจากท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ธรรมสถาน บุโรพุทโธ จนอิ่มบุญแล้ว เย็นเย็นค่ำๆ อย่าลืมแวะเดินเล่นที่ ” ถนนมาลิโอโบโร ” (Jalan Malioboro) …