พิพิธภัณฑ์จิบลิ, ญี่ปุ่น
แฟนการ์ตูนชาวไทยหลายคน คงจะคุ้นหูกันอยู่บ้างกับการ์ตูนทางค่ายสตูดิโอจิบลิ โดยเฉพาะความน่ารักน่าชังของเจ้าโทโทโร่ ภูติแห่งป่า ตัวอ้วนกลมโต ขนฟู คล้ายแมวผสมกระต่าย จากเรื่อง โทโทโร่เพื่อนรัก (My Neighbor Totoro) ที่โดดเด่น จนกลายมาเป็นมาสคอตของทางค่ายการ์ตูนจิบลิกันเลยทีเดียว
นอกจากความน่ารักของลายเส้นตัวการ์ตูนแล้ว ทางสตูดิโอจิบลิยังการันตีถึงคุณภาพเนื้อเรื่องที่เข้มข้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสอนให้แง่คิดอย่างเช่นเรื่อง Spirited Away จนได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์การ์ตูนยอดเยี่ยมมานอนกอดเมื่อปี 2001 หรือจะเป็นเรื่องราวสะเทือนอารมณ์แก่ผู้ชมเรื่อง Grave of the Fireflies (สุสานหิ่งห้อย) สร้างความหดหู่ใจคนดูกันมาแล้ว
ทางด้านหัวเรือใหญ่ผู้ริเริ่มก่อตั้งสตูดิโอจิบลิอย่าง ฮายาโอะ มิยาซากิ มีแนวคิดที่สร้างสถานที่เก็บรวบรวมผลงานของเค้า รวมถึงผลงานของผู้กำกับท่านอื่นของทางค่ายจิบลิอีกด้วย จึงออกมาเป็น ” พิพิธภัณฑ์จิบลิ ” ซึ่งตั้งอยู่บนสวนสาธารณะอิโนะคาชิระ (Inokashira Park) ในเมืองมิทากะ (Mitaka) ซึ่งอยู่ในชานเมืองด้านตะวันตกของกรุงโตเกียว
พิพิธภัณฑ์จิบลิ เริ่มวางแผนก่อสร้างเมื่อปี 1998 จนแล้วเสร็จมีพิธีเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2001 ฮายาโอะ มิยาซากิ เป็นผู้ออกแบบ พิพิธภัณฑ์จิบลิ ด้วยตนเอง โดยใช้กระดานสตอรี่บอร์ดแบบเดียวกันกับใช้ทำภาพยนตร์ มีคอนเซ็ปต์ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ประณีตศิลป์ (Fine Arts Museum) ที่แตกต่างจากไปจากพิพิธภัณฑ์ที่อื่นๆ ตรงที่เน้นถึงความเหมาะสมกับการเล่นของเด็กๆ ทางเดินภายในพิพิธภัณฑ์จึงมีลักษณะเหมือนเขาวงกต หรือสนามเด็กเล่น ซึ่งสอดคล้องกับคำขวัญที่ปรากฏอยู่ในหน้าเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ที่ว่า “Let’s lose our way together” (Maigo ni naro yo, isshoni) ซึ่งแปลว่า มาหลงทางด้วยกันเถอะ ด้วยเหตุนี้ พิพิธภัณฑ์จิบลิจึงไม่กำหนดเส้นทางลำดับการเข้าชม อีกประการหนึ่งแม้ว่าในใบปลิวของพิพิธภัณฑ์จะมีข้อมูลให้อ่านหลายภาษา แต่ทว่าข้างในพิพิธภัณฑ์จะมีป้ายชื่อบอกผลงานเพียงภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น
สิ่งที่น่าใจใน พิพิธภัณฑ์จิบลิ มีอะไรบ้าง?
เริ่มแรก นักท่องเที่ยวได้เข้าสู่บริเวณ พิพิธภัณฑ์จิบลิ แล้ว จะมีสิ่งแรกที่รอต้อนรับผู้มาเยือนคือ เจ้าหุ่นมาสคอตดังทางค่ายจิบลิอย่าง โทโทโร่ ตัวใหญ่อยู่ในป้อมยาม ไม่ใช่แค่ตัวเดียว ยังมาพร้อมกับพวกลูกฝุ่นตัวดำๆ (ภูติเขม่า) ที่คอยชี้ทางทุกท่านสู่ประตูทางเข้าพิพิธภัณฑ์ต่อไป
เมื่อมาถึงประตูทางเข้า พิพิธภัณฑ์จิบลิ พนักงานจะนำบัตรจองที่เป็นกระดาษไป และให้ตั๋วที่เป็นส่วนหนึ่งของฟิล์มภาพยนตร์จริงๆ ของสตูดิโอจิบลิมา ซึ่งเป็นทั้งบัตรเข้าชม และของที่ระลึกที่ทรงคุณค่ามาก
ชั้นที่ 1 (ใต้ดิน) จะมีโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กมีความจุประมาณ 80 ที่นั่ง ชื่อว่า Satum Theater ฉายหนังสั้นของสตูดิโอจิบลิ ซึ่งหายากไม่มีให้ดูที่ไหน โดยให้ผู้ชมได้ดูกันคนละรอบ
ห้องโถงใหญ่ ของพิพิธภัณฑ์จิบลิ บรรยากาศในห้องจะเรืองรองด้วยแสงที่ส่องมาจากหลังคาโดมกระจก ซึ่งรวมกับบันไดเวียนเหล็ก สะพานเชื่อมสองฝากอาคาร โครงสร้างลิฟท์เหล็ก และใบพัดของพัดลมขนาดใหญ่ที่ดูคล้ายปีกเครื่องบินแล้ว ก็ให้ภาพที่สวยงามประหลาดล้ำแบบเดียวกับที่พบได้ในภาพยนตร์ของ ฮายาโอะ มิยาซากิ
นิทรรศการถาวร ในส่วนชั้นที่ 1 คือ ห้องจัดแสดงความเป็ามา และศาสตร์ของอนิเมชั่น ไฮไลท์คือ เครื่องโซโทรบ (Zoetrope) ขนาดใหญ่ที่มีหุ่นตัวละครจากหนังหลายๆ เรื่องของสตูดิโอจิบลิ มาวางเรียงกันเป็นวงกลม โดยแต่ละตัวมีความต่างกันเล็กน้อย ซึ่งเมื่อหมุนในความเร็วคงที่ และจับกล้องถ่ายจะได้ภาพหลอกตาออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหว
ชั้นที่ 2 นิทรรศการถาวร ในส่วนชั้นที่ 2 เป็นห้องจำลองการทำงานของสตูดิโอจิบลิ ที่มีชื่อว่า “Where a Film is Born” ที่มีทั้งภาพสเก็ตซ์สตอรี่บอร์ด วัตถุดิบที่ใช้อ้างอิงมากมาย เพื่อแสดงให้เห็นกระบวนการต่างๆ ในการผลิตภาพยนตร์อนิเมชั่น
นิทรรศการสัญจร เป็นนิทรรศการศิลปะอื่นๆ ที่น่าสนใจ จัดแสดงอยู่ที่ชั้น 2 ซึ่งจะแสดงโชว์ศิลปะต่างๆ เวียนเปลี่ยนไปปีละครั้ง โดยนอกจากผลงานของสตูดิโอจิบลิเองแล้ว ยังมีของทางสตูดิโอต่างประเทศอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นของดิสนีย์/พิกซาร์ และ Aardman ก็มาเคยจัดนิทรรศการที่นี่มาแล้ว
ชั้นที่ 3 มี Cat Bus Room สำหรับเด็กอายุไม่เกิน 12 ปี เป็นของตุ๊กตาแมวรถบัสขนาดใหญ่จากภาพยนตร์เรื่อง My Neighbor Totoro มาให้เด็กๆ ได้ปีนป่ายเล่นกันอย่างสนุกสนานกัน
จากเฉลียงด้านนอกของห้อง Cat Bus Room ขึ้นบันไดเวียนนำไปสู่ชั้นดาดฟ้าที่มีสวนเล็กๆ และหุ่นเหล็กยักษ์ขนาด 5 เมตร จากเรื่อง Laputa Castle in the Sky ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าราวกับเป็นผู้พิทักษ์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ รวมถึงบล็อกสี่เหลี่ยมจาก Laputa ก็อยู่ไม่ไกลกัน
ที่ชั้น 3 อีกฝากหนึ่ง มีร้านขายของที่ระลึกของสตูดิโอจิบลิ ชื่อว่า Mamma Aiuto! มาจากชื่อของโจรสลัดอากาศในภาพยนตร์เรื่อง Porco Rosso และข้างๆ กันเป็นห้องสมุด Tri Hawks ที่รวบรวมหนังสือภาพ และหนังสือสำหรับเด็ก ที่คัดสรรโดยพิพิธภัณฑ์จิบลิและผู้ก่อตั้ง ฮายาโอะ มิยาซากิ เอง ด้วยความมุ่งหวังว่าจะเพิ่มโอกาศในการอ่านหนังสือให้กับเด็กๆ
นอกจากนี้ ที่ระเบียงด้านนอก ใต้ร่มเงาของต้นสนแดง มีอาคารสีส้มพร้อมหน้าต่างสีแดง เป็นที่ตั้งของคาเฟ่แบบเอาท์ดอร์ที่ชื่อว่า Straw Hat Cafe ที่เอาไว้ดื่มด่ำบรรยากาศและอาหารเครื่องดื่มสดๆ จากฟาร์มออแกนิคส์ใกล้ๆ กัน นั้นยังมีเครื่องสูบน้ำโบราณแบบในเรื่อง My Neighbor Totoro ให้เหล่านักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก
พิพิธภัณฑ์จิบลิ
1-1-83 สวนสาธารณะอิโนะคาชิระ เมืองมิทากะ กรุงโตเกียว 181-0013
วิธีไป : ขึ้นรถไฟสาย JR Chuo-line ขบวนด่วนพิเศษจากสถานีชินจูกุ ใช้เวลา 20 นาที ถึงสถานีมิทากะ เดินริมครอง Tamagawa-josui ประมาณ 15 นาที ระหว่างทางมีลูกศรคอยบอกทางไป พิพิธภัณฑ์จิบลิ
เวลาเปิดบริการ วันพุธ – วันจันทร์ หยุดทุกวันอังคาร วันสิ้นปี และช่วงเทศกาลปีใหม่ ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00น. (เปิดให้เข้าชมรอบสุดท้าย 17.00น.)
ค่าเข้าชม ***ต้องชื้อบัตรล่วงหน้าที่ร้านสะดวกชื้อ Lawson ที่มีอยู่ทั่วไปในญี่ปุ่น***
ผู้ใหญ่และนักศึกษา อายุมากกว่า 19 ปี บัตรราคา 1000 เยน
นักเรียนมัธยม อายุ 13-18 ปี บัตรราคา 700 เยน
นักเรียนประถม อายุ 7-12 ปี บัตรราคา 400 เยน
เด็ก อายุ 4-6 ปี บัตรราคา 100 เยน
เด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี ไม่เสียค่าบัตรเข้าชม
หรือรายละเอียดเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ http://www.ghibli-museum.jp
ข้อมูลและภาพ : wiki / หนังสือ Ghibli Story / suchanjapan.wordpress.com
เรียบเรียงโดย Travel MThai