ใกล้ปีใหม่กันแล้ว Travel.mthai ขอแนะนำทริปสายบุญกันหน่อย สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เสริมบารมี แก่ตนเอง ก่อนอื่นต้องขอบคุณ แอร์เอเชีย และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในการพาเราบินข้ามภาค ล่องลงใต้เมืองหาดใหญ่ และพาแอ่วเหนือ เมืองเชียงราย สักการะพระโพธิสัตว์แดนใต้-แดนเหนือ งานนี้บอกเลยว่าทั้งสนุกและรับบุญกันไปเต็มๆ ^^
ทริปสายบุญ! แอ่วเหนือ-ล่องใต้
ไหว้พระ วัดขึ้นชื่อประจำเมือง
(ตอนที่ 1)
แอร์เอเชีย และ ททท. ต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยมุ่งเน้นกลุ่มผู้สูงอายุที่พร้อมเดินทางร่วมกับเพื่อนๆ หรือแบบครอบครัว รวมถึงนักท่องเที่ยวที่สนใจแหล่งท่องเที่ยวทางพุทธศาสนา วัยรุ่นอย่างเราก็เที่ยวได้นะ ^^ นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในเมืองนั้นๆ ด้วย ซึ่งอย่างที่บอก ทริปสายบุญนี้เราจะพาลงใต้ไปไหว้พระที่หาดใหญ่ แล้วบินขึ้นเหนือกันต่อ โดยที่เราสามารถนั่งเครื่องจาก หาดใหญ่ไปเชียงรายได้เลย ไม่ต้องไปต่อเครื่องที่ดอนเมือง ทำให้เราเดินทางกันสะดวกสบายมากขึ้น
เที่ยวบินจากหาดใหญ่ ไปยัง เมืองต่างๆ
- หาดใหญ่ – กรุงเทพฯ มี 8 เที่ยวบินต่อวัน
- หาดใหญ่ – เชียงใหม่ มี 2 เที่ยวบินต่อวัน
- หาดใหญ่ – เชียงราย มี 2 เที่ยวบินต่อวัน
- หาดใหญ่ – ขอนแก่น มี 1 เที่ยวบินต่อวัน
- หาดใหญ่ – อู่ตะเภา มี 1 เที่ยวบินต่อวัน
- หาดใหญ่ – กัวลาลัมเปอร์ มี 1 เที่ยวบินต่อวัน
ตื่นแต่เช้ามาเช็คอิน! โดย สายการบินแอร์เอเชีย (Air Asia) จากดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังหาดใหญ่ จ.สงขลา ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ลงเครื่องปุ๊บ เก็บกระเป๋าขึ้นรถ แล้วออกเดินทางไปทานข้าวกลางวันกันที่ “ร้านเนินขุนทอง” ร้านอาหารพื้นเมืองสงขลา อยู่ไม่ไกลจากตัวสนามบิน
เมนูรสจัดจ้านตามสไตล์อาหารใต้ : แกงส้มปลากะพง, แกงคั่วปูใบชะพลู, ใบเหลียงผัดไข่, ปลาหมึกผัดไข่เค็ม, ปลาอินทรีย์สดทอดน้ำปลา, หมูฆ้อง, ชุดขนมจีน, ยำตะไคร้กรอบ, ไข้ย้อย และของหวานเป็น ทับทิมกรอบ
อิ่มท้อง พลังงานพร้อม! ที่แรกเราเดินทางมายัง “อำเภอสทิงพระ” มีความหมายว่า พระที่อยู่ริมน้ำ เดิมที่เรียกว่า จะทิ้งพระ เป็นที่ตั้งเมืองพัทลุงเก่า (ประมาณปี พ.ศ. 1000-1480) อายุพันกว่าปี ซึ่งมีหลักฐานปรากฏชัดอยู่
ทริปนี้เราได้เดินทางมาพร้อมกับ อาจารย์ชวลิต จิตภักดี ผู้เชียวชาญทางด้านประวัติศาตร์และพุทธสถาน ผู้ที่ให้ ความรู้เกี่ยวกับการออกทริปสายบุญในครั้งนี้ บอกเลยว่าฟังอาจารย์เล่าประวัติศาสตร์แล้วรู้สึกสนุก น่าฟังมากๆ

“วัดจะทิ้งพระ” วัดเก่าแก่คู่บ้านเมืองประจำอำเภอสทิงพระ สร้างขึ้นปี พ.ศ.1542 ภายในวัดมีโบราณสถานเป็นศิลปะสมัยศรีวิชัย เช่น
เจดีย์พระมหาธาตุ ความสูง 20 เมตร รูปทรงระฆังคว่ำแบบลังกา ซึ่งองค์ระฆังคว่ำของที่นี่จะแปลกกว่าที่อื่น จะคอดเว้าตรงกลางเล็กน้อย อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-15 แต่ละด้านมีซุ้มพระหนึ่งซุ้ม โค้งแหลมแบบสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ที่ได้รับอิทธิพลมาในสมัยอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199-2231)
หันมาซ้ายมือก็จะพบกับ วิหาร ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังอายุกว่า 100 ปี เล่าเรื่องราวพุทธประวัติ เขียนภาพด้ายสีขาว เทา ฟ้า และเขียว บนพื้นสีเหลืองอ่อน ในอดีตกำแพงวิหารได้พังลง 3 ด้าน ทำให้เหลือให้เห็นเพียงด้านเดียวที่เป็นยังจิตรกรรมดั้งเดิม
มีพระพุทธไสยาสน์ หรือ พระนอน องค์ใหญ่ ยาวประมาณ 19 เมตร เราก็เข้าไปกราบไหว้ ขอพรกันเลย เพราะเป็นพระประจำวันเกิด วันอังคาร ด้วย 🙂 วิหารนี้จะไม่มีหน้าต่าง จะมีเพียงการเจาะช่องลม ซึ่งเป็นศิลปะสมัยศรีวิชัยผสมท้องถื่น และใช้ประตูเพียง 2 ด้าน

การเดินทางไปยังวัดต่อไปนี้นั้น จะมีเรื่องราวตำนานของ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด รวมอยู่ด้วย ซึ่งวัยรุ่นอย่างเราคงไม่รู้จัก แต่ถ้าถามพ่อกับแม่ต้องร้อง อ๋อ กันแน่นอน! แต่พอเราได้มารู้เรื่องราวตำนานนี้ บอกเลยว่าได้ทั้งบุญ และได้ความรู้ เรื่องราวน่าสนใจอีกหลายอย่างเลยค่ะ
“วัดต้นเลียบ” หลายคนคงจะรู้จัก หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด กันดีว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ในตำนานที่มีผู้ศรัทธาจำนวนมาก ซึ่งวัดที่เรามานี้ เป็น บ้านเกิดของหลวงปู่ทวด และเป็นที่ตั้งของต้นเลียบอายุกว่า 400 ปี ที่ปลูกทับ “รก” ของหลวงปู่ทวดไว้นั่นเอง


มีตำนานเล่าขาน หลวงปู่ทวดเป็นบุตรของนายหูและนางจันทร์ ในขณะนั้นเป็นทาสในเรือนเบี้ย ของเศรษฐีปาน หลวงปู่ทวด แรกเกิดถูกตั้งชื่อว่า ปู ตอนท่านเกิดนั้นก็ได้เกิดฟ้าร้องฟ้าผ่าแผ่นดินสะเทือน เสมือนว่ามีผู้มีบุญญาธิการมาเกิด ถือเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ เมื่อพ่อแม่ตัดสายสะดือออก ก็ได้นำมาฝังไว้ที่โคนต้นเลียบ ซึ่งในปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ต้นเลียบ
“สำนักสงฆ์นาเปล” สถานที่ที่เป็นจุดกำเนิดลูกแก้วคู่บารมีของหลวงปู่ทวด
เราฟังแล้วยังตื่นเต้นไม่หาย ..

ตำนานเล่าว่า เมื่อถึงฤดูทำนา พ่อและแม่ต้องออกมาทำนา ซึ่งได้พาเด็กชายปูในวัยแบบเบาะออกมาด้วย เพราะไม่มีใครดูแล พ่อแม่ได้ผูกเปลและให้นอนอยู่กลางนา เมื่อกลับมาถึงก็พบว่ามีงูจงอางตัวใหญ่มาพันรอบเปล ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป ถึงจุดธูปขออย่าทำร้ายลูก ไม่นานงูก็คลายตัวและคลานออกไป ในเปลกลับพบเมือกแก้วขนาดใหญ่ที่งูจงอางคายไว้บนอกของเด็กชายปู มีแสงแววับ ต่อมาแข็งตัวกลายเป็นลูกแก้ว ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดพะโคะ

“วัดดีหลวง” (หรือ วัดกิฏิหลวง) เป็นสถานที่แรก ที่หลวงปู่ทวดมาศึกษาเล่าเรียนหนังสือ ตอนท่านอายุ 7 ขวบ พ่อแม่ได้นำมาฝากไว้เป็นศิษย์ เด็กชายปูเป็นเด็กหัวดี เรียนเก่ง เล่าเรียนภาษาขอมและภาษาไทยได้อย่างรวดเร็ว และต่อมาได้บวชเป็นสามเณร เมื่ออายุได้ 15 ปี ซึ่งในตอนนั้นพ่อได้ถวายลูกแก้วคืนให้แก่ท่าน เป็นลูกแก้วประจำตัว

“วัดศรีหยัง” เมื่อหลวงปู่ทวดเล่าเรียนจนครบวิชาที่ วัดดีหลวง แล้ว ก็มีศึกษาต่อที่วัดแห่งนี้ เป็นวัดสำคัญแห่งสรรพวิชาก็ว่าได้ ก่อนที่จะไปจำพรรษาที่สัดพะโคะ
“วัดพะโคะ” เป็นวัดในประวัติศาสตร์ที่หลวงปู่ทวดอยู่มาอย่างยาวนาน ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เสมอด้วยสังฆราชหัวเมืองปักษ์ใต้ จนวัดนี้กลายเป็นศูนย์กลางปกครองที่เป็นเอกเทศ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานในปี พ.ศ. 2528

ตำนานเล่าว่า ราชทูตจากศรีลังกามาท้าแปลพระไตรปิกฏ พระทั้งเมือง สมเด็จต่างๆ ในสมัยนั้นไม่มีใครแปลได้ จนพระเอกาทศรถออกปากว่า ใครแปลได้จะยกเมืองให้ จนมีคนบอกว่าพระเหลืออยู่อีกที่ยังไม่ได้มาแปล แลดูเป็นคนต่างจังหวัดเพราะร่างเล็กตัวดำ เมื่อนิมนต์มา หลวงปู่ทวดนั่งปุ๊บ สิ่งแรกที่พูดขึ้นคือ อักษรมีไม่ครบ ยังขาดอยู่อีก 7 ตัว เป็นหัวใจพระอภิธรรม ราชทูตจึงแกะออกมาจากมวยผมของตนเอง นำอักษรมาใส่จนครบ หลวงปู่ทวดแปลพระไตรปิกฏได้
ศาลาตัดสินความ ในสมัยนั้นหากใครมีความผิด และอยู่ในอาณาเขตการปกครองของหลวงปู่ทวด จะต้องมาที่นี่ เพื่อให้หลวงปู่ทวดเป็นคนตัดสินความผิดเท่านั้น และถือว่าคำตัดสินเป็นคำเด็ดขาด

สักการะ ลูกแก้ว สารพัดนึก คู่บารมีของหลวงปู่ทวด ที่เก็บรักษาไว้ในครอบแก้ว ถ้ามองดีๆ จะเห็นว่ามีรอยแตก ซึ่งเกิดจากเคยมีคนพยายามขโมย แต่ไม่สามารถนำออกไปจากประตูวัดได้ จึงทำการทุบให้แตก ปัจจุบันก็ได้ทำการต่อรอยแตกนั้นและเก็บรักษาที่แห่งนี้ พร้อมกับ ไม้เท้าคู่กายของหลวงปู่ทวดด้วย

รอยพระพุทธบาทของหลวงปู่ทวด ที่ประทับบนแผ่นหิน
มีเรื่องตำนานอีกแล้ว! เล่าว่า เมื่อตอนที่เดินทางไกลเพื่อไปศึกษาพระธรรมโดยเรือ หลวงปู่ทวดก็ได้เดินทางมาพร้อมกับลูกเรือหลายสิบคน แต่ระหว่างการเดินทางเกิดมีพายุทำให้ไปไหนไม่ได้ สเบียงอาหารก็เริ่มไม่เพียงพอ ลูกเรือจึงตัดสินว่าคนที่ขึ้นเรือมาคนสุดท้ายเป็น กาลกิณี ซึ่งก็คือตัวของหลวงปู่ทวด จึงได้ทำการเชิญลงจากเรือ
โดยมีลูกเรือคนหนึ่งที่มีจิต ศรัทธาในพทธศาสนา อาสาพายเรือเล็กออกมาส่งหลวงปู่ทวดขึ้นฝั่ง ขณะพายเรือลูกเรือก็บ่นว่าหิวน้ำ หลวงปู่ทวดจึงหยั่งเท้าซ้ายลงน้ำ ทำให้น้ำบริเวณนั้นเกิดเป็นวง น้ำทะเลเปลี่ยนเป็นน้ำจืด

ทริปสายบุญ ที่ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลาของเราในช่วงบ่ายก็จบลงแล้ว ตกเย็นเราก็เดินทางไปทานอาหารกันที่ ร้านศิรดา เกาะยอ เสียดายมาก เพราะไม่ได้ชมพระอาทิตย์ตกที่นี่เลย แต่ไม่เป็นไร อาหารอร่อยและบรรยากาศดี ยอม! ^^ หลังจากทานเสร็จเราก็เดินทางเข้าที่พักกันค่ะ คืนนี้เรานอนที่ โรงแรมเซ็นทารา หาดใหญ่ ตั้งอยู่กลางใจเมืองเลยค่ะ

นอนหลับ อิ่มสบาย! ตื่นเช้ามาทานอาหาร และออกเดินทางไป เมืองสงขลา กัน ที่แรกที่เรามาถึงก็คือ “วัดมัชฌิมาวาส” วัดเก่าแก่ของเมืองสงขลา ตั้งอยู่ในกลางเมือง อายุกว่า 400 ปี ภายในบริเวณวัดมีพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ มีของเก่าแก่เก็บสะสมไว้มากมาย


เดินออกมาจาก วัดมัชฌิมาวาส เดินตรงมาเราก็จะเจอนี่! “สตรีท อาร์ต” วัยรุ่นฮิปสเตอร์อย่างเราอดใจไม่ไหว ของถ่ายภาพหน่อยแล้วกัน ^^ ถนนเส้นนี้ทั้งเส้นมีสรีท อาร์ต เยอะมากๆ ค่ะ เดินไปทางไหนก็มี เราเก็บภาพสวยๆ มาให้ดูกัน ^^
ดูภาพ-อ่านเพิ่มเติม : เที่ยวแบบฮิปสเตอร์ที่ Street Art จ. สงขลา
แวะพักกินน้ำเย็นชื่นใจกันที่ร้าน “อ่องเฮียบฮวด” ร้านเก๋ไก๋สไลเดอร์มากๆ ข้างนอกดูเป็นร้านสะสมของเก่า พอเปิดประตูเข้าไปปุ๊บ โอ้โห! ตะเกียงเก่า ของสะสมเก่าๆ ละลานตาไปหมด เดินตรงไปประตูด้านหลังก็จะพบกับ ร้านกาแฟ มันได้กลิ่นอายวัยเด็กมากๆ ของเล่นเอย ขนมเอย ของใช้เอย นั่งย้อนความหลังกันไป อิอิ
หลังจากนั้นเราเดินทางไปทะเลกันต่อ มาถึงสงขลาทั้งทีก็ต้องมาเที่ยวที่ “หาดสมิหลา” กันซะหน่อย หาดทรายสีขาวนุ่มละเอียด ถ้าถ้าบนทรายโดยที่ไม่เห็นทะเล นี่มันซาฮาร่าชัดๆ! บริเวณนี้ก็มีผู้คนเดินทางมาเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก
ไฮไลท์ของที่นี่ไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นก็คือ “นางเงือก” เขาบอกว่า ผู้ชายทั้งหลายจะต้องมาจับนมนางเงือก (เค้าไม่ได้ทะลึ่งนะ >,<) แล้วจะได้แฟน ดูจากสีนมนางเงือกกับตัวนางเงือกสิ ไม่อยากจะพูด! 55555

เดินเล่นถ่ายรูปได้สักพัก หันไปทางทะเล โอ้โห! มันมาแล้วจ้า พายุฝน ครึ้มมาเชียว เราเลยรีบขึ้นรถแล้วบึ่งขึ้นไปดูวิวสวยๆ แบบพาโนรามา ของเมืองหาดใหญ่กันที่ “ยอดเขาคอหงส์”

จบทริปวันที่สองแบบเบาๆ กลับทานข้าวเย็นกันที่ห้องอาหาร โรงแรมเซ็นทารา หาดใหญ่ บุฟเฟ่ต์นานาชาติ ทั้งซูชิ ซาชิมิ อาหารคาวและของหวานแบบฟิวชั่น อิ่มอร่อยกันไป!
แวะเดินไปเที่ยวตลาดกิมหยง ไปเจอขนมแปล๊กแปลก แผ่นสีเหลืองใหญ่ก็เลยไปถามคุณป้า นี่คือ “ขนมรา” เป็นขนมที่มีขายเฉพาะช่วงเทศกาลบุญ ช่วงเดือน 10 เท่านั้น เราโชคดีนะเนี่ยมาแล้วได้กิน ^^ รสชาติคล้ายกินฝอยทองแต่รสชาติจืดกว่า ราคาแผ่น 10 บาท แผ่นใหญ่กว่ากระด้งซะอีก จัดไปเป็นของฝากที่บ้านซะเลย
คืนนี้ขอนอนพักเอาแรงก่อน แล้สพรุ่งนี้เช้าเราจะพาขึ้นเหนือ ไปสักการะเจ้าแม่กวนอิม ชมพิพิธภัณฑ์บ้านดำ ไปต่อวัดร่องขุน ทานอาหารเย็นท่ามกลางพระอาทิตย์ตกสวยๆ ที่ไร่บุญรอด (ไร่สิงห์ ปาร์ค) มันดีต่อใจจริงๆนะ! วันนี้ลาไปก่อนนะ บ้ายบาย ..