ชิบูย่า ช้อปปิ้ง ชินจูกุ ที่เที่ยวญี่ปุ่น ที่เที่ยวโตเกียว ภูเขาไฟฟูจิ วัดอาซากุสะ วัดเซนโซจิ ฮาราจูกุ เที่ยวญี่ปุ่น เที่ยวโตเกียว

[รีวิว] เที่ยวโตเกียว เที่ยวง่าย เที่ยวสบาย …. ฉบับมือใหม่หัดเที่ยว

Home / ท่องเที่ยวรอบโลก / [รีวิว] เที่ยวโตเกียว เที่ยวง่าย เที่ยวสบาย …. ฉบับมือใหม่หัดเที่ยว

ใครที่วางแพลนไปเที่ยวโตเกียวด้วยตัวเอง แบบไม่ง้อทัวร์ไหนๆ แต่ยังเริ่มต้นไม่ถูก ว่าจะเดินทางยังไง พักที่ไหน มีจุดไหนน่าเที่ยวและถ่ายรูปสวยๆ บ้าง วันนี้เรามีรีวิว เที่ยวญี่ปุ่น เมืองโตเกียว จากเพจ Nichanary – travel blogger รวมไปถึงการเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง มาฝากกัน บอกเลยว่าข้อมูลแน่นปึ้ก อ่านจบปุ๊ปก็ลุยเดี่ยวเที่ยวเองได้เลยค่า

รีวิวโตเกียว เที่ยวง่าย เที่ยวสบาย
…. ฉบับมือใหม่หัดเที่ยว

การเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง

1. Print เอกสารที่สำคัญทั้งหมดไว้คนละชุด

– เอกสารสำคัญที่ว่าก็มี Boarding Pass, ใบจองตั๋วเครื่องบิน, ใบจองโรงแรม, กรมธรรม์, แผนการเดินทางคร่าวๆ เป็นต้น

– ทำไมต้องเตรียม? เผื่อคุณโชคไม่ดี เจอ ตม. ญี่ปุ่นถามหาเอาอะค่ะ กันไว้ดีกว่าแก้เนอะ

2. จองที่พักล่วงหน้า 1-2 เดือนค่ะ ในกรณีที่ไปหน้าช่วงเทศกาลแบบเรา เราจองล่วงหน้า 2-3 เดือนเลยทีเดียว ไม่งั้นที่พักดีๆ จะเต็มหมดนะคะ

– ที่พักจะต้องเดินทางสะดวก ใกล้ JR หรือ Metro/Subway

– แนะนำให้ลงไปเดินเล่นใน Google Map เลยค่ะ จะได้คุ้นทาง จำตึกได้ และยังได้สำรวจสภาพแวดล้อมรอบๆโรงแรมไปด้วยค่ะ

– สำคัญกว่าความสะดวก คือ ความน่าเชื่อถือค่ะ เพราะหลายคนจอง Apartment ใน Agod- และ Airbn- โดนเทมาเยอะมากๆ จะจองอะไร เช็คดีๆ ดูรีวิวดีๆเลยค่ะ

3. ซื้อตั๋ว JR PASS/ TOKYO SUBWAY/SKYLINER ไว้จากไทยก็ได้ค่ะ

– สำหรับคนไม่อยากไปตามหาซื้อที่นู่น แนะนำซื้อจากงานเที่ยวไทยไปทั่วโลกเลยค่ะ หรือจะตาม Agency ทัวร์ก็สะดวกดี

4. สำหรับคนที่จะไปเที่ยวสวนสนุก DISNEY LAND หรือ UNIVERSAL

แนะนำดอกจันแปดร้อยดอกให้ซื้อบัตรจากไทยไปเลยค่ะ สะดวกมากๆ จะได้ไม่ต้องไปต่อคิวซื้ออีกเน้อะ แค่ต่อคิวรอเครื่องเล่นก็เหนื่อยแล้ว บอกก่อน 5555+

5. ศึกษาพยากรณ์อากาศของญี่ปุ่นไว้ก่อนค่ะ จะได้เตรียมเสื้อผ้าไปถูก ถ้าเกิดเจอวันฝนตก จะได้แพลนได้ว่าวันนั้นจะเน้นเที่ยวแถวไหนดี จะได้ไม่นอยด์เนอะ

– เวปหลักๆ ที่เราดู http://www.accuweather.com/en/jp/japan-weather

– หากใครจะไปคาวากูชิโกะ แนะนำให้ดู Live เลยดีกว่า จะได้เห็นฟูจิไม่ขี้อายด้วย http://live.fujigoko.tv/?n=3&e=1

6. แลกเงิน YEN ( JPY) ไว้เผื่อค่ะ เพราะจะได้ไม่โดนเรทบัตรเครดิตแพงนะคะ แต่สำหรับใครไม่แคร์เรื่องค่าเงิน แต่แคร์การพกเงินสด ก็ตามสะดวกเลยค่ะ

7. เช่า Pocket Wifi หรือซื้อ Sim ไว้ก่อนเดินทาง

สำหรับเราใช้ Pocket Wifi ของ Tripizee ค่ะ ไม่ใช่หน้าม้านะคะ ซึ่งจะบอกว่าดีมากๆๆๆ ราคาถูกมาก แค่วันละ 90 บาทเอง แบตอยู่ทนอยู่อึดตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืนยังไม่หมด สัญญาณเร็วแรงไม่มีอืด มีขาดหายบ้างแค่ช่วงเข้าอุโมงค์ค่ะ

8. ขอแนะนำสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ ถ้าหากว่าสาวๆ ต้องการใช้เครื่องหนีบผม/ม้วนผม หรือ ไดร์เป่าผม ให้เช็คดีๆ นะคะว่าของที่เรามีอยู่นั้น รองรับกระแสไฟฟ้าที่ญี่ปุ่นหรือเปล่า

– ที่ญี่ปุ่นรองรับกระแสไฟแค่ 110 V เท่านั้นค่ะ โดยเครื่องหนีบผมของไทยส่วนมากจะอยู่ที่ 200- 240 V ถ้าเราพกไปด้วยก็ใช้ไม่ได้นะคะ เครื่องจะไม่ร้อน แนะนำให้ไปซื้อที่นู่นเลย ใน Donqijote ก็มีเยอะแยะ หาซื้อง่ายมาก ราคาประมาณ 3,000 – 5,000 yen ค่ะ

– แต่ถ้าหากใครอยากพกไปเอง มีสองรุ่นที่พอทราบว่าใช้ได้คือ Lesasha รุ่น traveler และ OMG ราคาประมาณ 2,990 บาทค่ะ และก็ Panasonic ที่เป็นเครื่องหนีบผมแบบอันเล็กพกพาราคาประมาณ 800 บาทค่ะ ราคาจาก Central นะคะ

DAY 1 : NARITA AIRPORT, NIPPORI

คนต่อแถว Check-in ค่อนข้างเยอะ ใช้เวลานานมาก แนะนำให้ Check-in ล่วงหน้ามาได้เลยค่ะ 14 วันก่อนเดินทาง

Route การเดินทางของเราเป็นแบบนี้ค่ะ DMK ► NRT , KIX ► DMK (ไปลงนาริตะ แล้วกลับจากโอซาก้าค่า) โดยเราใช้บริการสายการบิน Low Cost , THAI AIR ASIA ด้วยเที่ยวบิน XJ611 ที่นั่ง Hot Seat พร้อมอาหารเสิร์ฟบนเครื่องบินค่ะ

ถึงสนามบิน Narita : Terminal 2 เรานั่ง KEISEI SKYLINER เข้าเมือง ต่อเดียวถึงโรงแรมที่ Nippori

  • NARITA AIRPORT ► NIPPORI

แนะนำโรงแรมนี้นะคะ ใกล้ JR มากค่ะ ร้านอาหารก็เยอะ สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องก็ครบ ข้อเสียคือ ห้องเล็กตามมาตรฐานญี่ปุ่นไปหน่อย กับ อยู่ใกล้รางรถไฟ คนนอนยากอาจจะรำคาญเสียงค่ะ แต่รวมๆ โอเคมากๆ

> ราคา : ★★★★ ( 8,000 yen/night หัก 1 ดาวตรงที่ฝากกระเป๋าแล้วคิดเงินใบละ 1,000 เยนเลย)
> บริการของพนักงาน : ★★★★★ ( ให้คำแนะนำเรื่องต่างๆดีค่ะ)
> ความสะอาด/สะดวกสบายในห้องพัก: ★★★★ ( หัก 1 ดาวที่ห้องเล็กและเสียงรถไฟค่ะ)
> สถานที่ตั้ง : ★★★★ ( ใกล้ JR และเดินทางไป NRT airport ได้เลยต่อเดียว หัก 1 ดาวตรงใกล้รางรถไฟเนี่ยแหละค่ะ)

ป่ะ ก่อนนอนก็ไปหาไรกินกันนนน
จานนี้ 500 Yen

 DAY 2 : KAWAGUCHIKO, MT.FUJI , SHINJUKU, ROPPONGI,  TOKYO TOWER

วันนี้เราจะเริ่มจาก Kawaguchiko ค่ะ วิธีเดินทางมีทั้งรถไฟและรสบัส ตามนี้เลยค่ะ https://chillchilljapan.com/fuji-trip-kawaguchiko/

สำหรับเราเลือกเดินทางโดยรสบัส เนื่องจากประหยัดเงินมากกว่า เพียงแค่เที่ยวละ 1,750 yen เท่านั้น แถมยังได้นอนยาวๆไป 2 ชั่วโมงแบบไม่ต้องเปลี่ยนสายให้กวนเวลานอน รถบัสก็มาจอดหน้าสถานีคาวากูชิโกะเลยยยย

เวปสำหรับจองรถนะคะ http://highway-buses.jp/course/kawaguchiko.php จองล่วงหน้าได้เลย 1 เดือนก่อนเดินทาง

  • SHIBUYA ►KAWAGUCHIKO

ล้อหมุน 7.00 AM แนะนำให้ไปถึง Bus Terminal ล่วงหน้าซักครึ่งชั่วโมงนะคะ รถบัสตรงเวลามาก เผื่อเวลาหลงและจะต้องแลกตั๋วก่อนขึ้นรถด้วยค่ะ

ระหว่างทาง ก็เจอฟูจิซังออกมาทักทายกันเลยยย รูปนี้ถ่ายจากบนบัสค่ะ

หลังจากลงสถานี KAWAGUCHIKO เราก็แวะทานข้าว ชมวิวฟูจิกันก่อนเบาๆ ร้านอยู่ตรงข้ามสถานีเลยค่ะ

บรรยกาศภายในร้าน
อุด้ง
ข้าวแกงกะหรี่
  • KAWAGUCHIKO ► SHIMOYOSHIDA

โชคไม่ดีที่เราไปช่วงเทศกาล คนเยอะมากเป็นพิเศษ ตอนแรกแพลนไว้ว่าจะเช่าจักรยานขี่รอบๆ ทะเลสาบ ปรากฎว่าหมด ! เศร้ามาก T_T พอเปลี่ยนใจจะขึ้น Retro Bus สำหรับลงตามจุด Stop ต่างๆ แถวก็ยาวมากกกกกกก ไม่ว่าจะเป็นแถวซื้อตั๋วหรือแถวต่อคิวขึ้นรถบัสก็ตาม แอบนอยด์ๆ ได้แต่ทำใจว่ามารอบนี้เก็บไม่หมดแน่นอน เลยตัดสินใจไปดูเจดีย์แดงอันเลื่องลือก่อนดีกว่า โดยซื้อตั๋วจากสถานี KAWAGUCHIKO นั่งรถไฟสาย Fujikyu railway มาลงที่สถานี SHIMOYOSHIDA ค่ะ ( 300 yen) (ก่อนออกจากสถานีไปดูเจดีย์แดง อย่าลืมดูรอบรถไฟที่จะกลับคาวากูชิโกะไว้เลยนะคะ จะได้กะเวลามารอได้ถูกค่ะ)

พอออกจากสถานีก็เดินตามนักท่องเที่ยวมาเรื่อยๆ ก็จะเจอทางขึ้นเจดีย์แดง หรือ Chureito Pagoda ค่ะ ไม่ต้องกลัวหลงเลย บนทางเดินจะมีรูปเจดีย์แดงให้เราเห็นอยู่ตลอดทางค่ะ แอบมีความน่ารักเอาใจใส่นักท่องเที่ยวเบาๆ

อย่าลืมฟิตร่างกายกันก่อนมานะคะ เพราะต้องขึ้นบันไดไปเกือบ 400 ขั้น เหนื่อยลิ้นห้อยเลย 5555 แต่พอปีนขึ้นมาแล้วได้เห็นวิวสวยๆแบบนี้ ก็ชื่นใจแล้วค่ะ ฟูจิซังไม่ขี้อายเลย เก็บรูปรัวๆ 

เจดีย์ชูเรโตะ (Chureito Pagoda) เป็นเจดีย์ห้าชั้นบนเนินเขาที่สามารถมองเห็นเมืองฟูจิโยชิดะ(Fujiyoshida City) และภูเขาไฟฟูจิในระยะไกลได้อย่างชัดเจนและงดงาม

เจดีย์นี้ตั้งอยู่บนศาลเจ้าอาราคุระเซนเกน (Arakura Sengen Shrine) ถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงสันติภาพปี 1963 ซึ่งจากตัวอาคารหลักของศาลเจ้าต้องขึ้นบันไดไปเกือบ 400 ขั้น นักท่องเที่ยวจะได้ชมทัศนียภาพอันสวยงามของภูเขาไฟฟูจิร่วมกับเจดีย์ห้าชั้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ดอกซากุระบานประมาณกลางเดือนเมษายน และฤดูใบไม้ร่วงประมาณครึ่งเดือนแรกของเดือนพฤศจิกายน จะเป็นจุดชมธรรมชาติที่นิยมเป็นอย่างยิ่ง (Credit: www.talonjapan.com/chureito-pagoda)

สวยมากกกกกกก
อีกมุม
ชานม อร่อยดี

หลังจากชมวิวจนหนำใจแล้วก็เตรียมตัวกลับคาวากูชิโกะค่ะ มารอรถไฟที่ตรงเวลาเป๊ะๆ

  • SHIMOYOSHIDA ► KAWAGUCHIKO

เนื่องจากว่าเราเสียเวลาไปกับเจดีย์แดงพอสมควร เลยทำให้มีเวลาเที่ยวต่อในคาวากูชิโกะไม่มากค่ะ หลังจากกลับมาก็มาเดินเล่นรอบๆ ทะเลสาบค่ะ สวยงามมากๆ

แถมยังมีเวลาขึ้น Kachi Kachi Ropeway ชมวิวฟูจิและทะเลสาบได้แบบเต็มๆตาเลยทีเดียว

หลังจากลงมาจาก Ropeway ก็ขอลอง ‘ดังโงะ’ ลูกกลมๆ หน้าตาน่าทานนี้ซักหน่อย รสชาติอร่อยใช้ได้เลยค่ะ 

ร้านดังโงะ

จากนั้นก็ขอล่องทะเลสาบชมวิวฟูจิอีกซักรอบ เอาให้จุใจก่อนกลับโตเกียว ไหนๆฟูจิซังก็ไม่ขี้อายแล้วอะ อิอิ

เห็นทีคงได้เวลาต้องกลับโตเกียวแล้ว เพราะจองรถบัสกลับ Shinjuku รอบ 16.10 ไว้ค่ะ ไว้คราวหน้าจะมาเก็บรอบๆทะเลสาบอีกทีนะ บายยย

  • KAWAGUCHIKO ► SHINJUKU

กลับมาถึงชินจูกุก็ 6 โมงเย็นแล้วค่ะ มีเวลาเดินเล่น เตร็ดเตร่ช้อปปิ้ง ซึมซับบรรยากาศหลังเลิกงานของชาวญี่ปุ่นพอดิบพอดี สังเกตได้ว่า คนที่นี่ แต่งตัวชุดทำงานได้ดู Professional กันมากๆ ค่ะ แถมยังดูดี หล่อๆ สวยๆ เดินกันให้ขวักไขว่ เพลินตามากๆ ยิ่งวันนี้เป็นเย็นวันศุกร์ ทุกคนดูไม่รีบเหมือนทุกวัน จับกลุ่มรอเพื่อนๆ เพื่อไปสังสรรค์ต่อหลังมื้อเย็น รู้สึกว่าทุกคนผ่อนคลายและสนุกสนาน

ย่านชินจูกุ ย่านแห่งสีสันที่เต็มไปด้วยศูนย์การค้า ร้านอาหาร  ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าแฟชั่น สินค้าลดราคาและสินค้ามือสอง

มีสถานีรถไฟชินจูกุที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของของย่านนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานีที่คึกคักที่สุดในญี่ปุ่น ในแต่ละวันมีผู้คนจำนวนมากถึง 2.5 ล้านคนที่ใช้บริการสถานีแห่งนี้

อีกฝั่งก็เป็นเป็นย่านธุรกิจที่เต็มไปด้วยอาคารสำนักงานสูงระฟ้า โรงแรมหรู และเป็นที่ตั้งของอาคารศาลาว่าการ Tokyo Metropolitan Government ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองของมหานครโตเกียว
สามารถเข้าไปชมวิวที่ตึก Tokyo Metropolitan Government ได้ฟรี เวลาตั้งแต่ 9.30 – 23.00 PM เลยค่ะ

  • SHINJUKU ► ROPPONGI

แวะมาเดินเล่นย่าน ROPPONGI ต่อค่ะ ย่านนี้เป็นย่านกลางคืนชื่อดังย่านหนึ่งของญี่ปุ่น โดยเฉพาะสำหรับชาวต่างชาติค่ะ มีทั้งอาคารสำนักงาน ร้านอาหาร โรงแรม พิพิธภัณฑ์ศิลปะ หอชมวิว สำหรับใครที่อยากชมวิว TOKYO TOWER สวยๆ สามารถขึ้นไปชมที่ Tokyo City View , Mori Tower ชั้น 52 ค่ะ (1,800 yen )

  • ROPPONGI ► TOKYO TOWER

เดินจากรปปงงิมาเรื่อยๆ ก็เจอ Tokyo Tower สีเหลืองอร่ามตา

โตเกียวทาวเวอร์ คือหอคอยสื่อสารขนาดใหญ่ มีความสูงโดยประมาณ 333 เมตร มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 50 ปี ตั้งแต่ช่วงหลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เลยค่ะ

จุดประสงค์ของการสร้างหอคอยเพื่อต้องการหาสัญลักษณ์หรืออนุสาวรีย์ และเพื่อรวบรวมขวัญกำลังใจของประชาชนนั่นเองค่ะ

ด้านล่างของโตเกียวทาวเวอร์ มีร้านเครปชื่อดัง Merion อร่อยมากกกกกกก ชอบสุดในญี่ปุ่นเลยค่ะ ต้องลองนะคะ ราคา 500 yen +++

DAY 3 : UENO, ASAKUSA, SHIBUYA, HARAJUKU, AKIHABARA

วันนี้ตื่นสายหน่อย เพราะเมื่อวานเที่ยวเต็มที่มากถึงเที่ยงคืน นอนหลับยาวๆจนถึง 9 โมงเช้า รีบอาบน้ำแต่งตัวออกเดินทางไปชมสวน Ueno Park ด้วยความหวังว่าจะได้เห็นเจ้าดอกสีชมพูน่ารักๆ ที่นามว่า “ซากุระ”

มาก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ค่ะ พอจะมีซากุระให้ได้เห็นแบบประปราย เจอบางต้นที่กำลัง Full Bloom อยู่เลย 

เห็นรถไอติมไม่ได้เลยยยยย วิ่งร่าเริงไปซื้อมาชิมตล๊อดดด…. ซอฟท์ครีมนุ่มๆ กับอากาศเย็นๆ ท่ามกลางซากุระร่วงโรย ฟินมาก

คุณลุงคนนี้โชว์การวาดภาพด้วยน้ำค่ะ

ทำไมในสวน หน้าศาล ต้องมีของกินเรียงรายแบบนี้ด้วยยย จากของหวานก็มากินของคาวเล็กๆ น้อยๆ ต่อจ้า โดนปูอัดเสียบไม้ไป 500 yen

  • UENO ► ASAKUSA

ก่อนกลับก็แวะเดินตลาด Ameyoko แล้วจึงมุ่งหน้าไปวัดเด่นวัดดังแห่งโตเกียว วัดอาซากุสะ หรือ วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple) นั่นเอง

วัดนี้เป็นที่รู้จักกันดีสำหรับคนไทย ที่ชอบเรียกว่า วัดโคมแดง ใครไปก็ต้องถ่ายรูปมุมนี้กลับมากันทุกคน ถือว่าเป็นแลนมาร์คหนึ่งในโตเกียวเลยก็ว่าได้ค่ะ

จาก Ueno นั่งรถไฟไปลง Asakusa station ถึงเลยค่ะ

ถนนนากามิเสะ ถนนยาวนำเข้าสู่พื้นที่ภายในวัดที่จะเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย วันนี้คนแน่นมากจริงๆ 

ที่พลาดไม่ได้เลยคือ ขนมปัง Melon อร่อยมาก ฟินมาก กรอบนอกนุ่มใน อุ่นหอมอร่อยมากค่ะ มีขายอยู่ใกล้ๆทางออกวัดเลยค่ะ

  • ASAKUSA ► SHIBUYA

มาต่อกันด้วยย่านชิบูย่า Crossing อันเลื่องลือ แยกข้ามถนนขนาดใหญ่จากการตัดกันของถนนหลายสาย เมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ผู้คนจากทุกฝั่งถนนก็จะเดินข้ามถนนพร้อมๆกัน ดูๆไปก็เก๋ไม่น้อยค่ะ

สำหรับคนที่มีเวลามาก สามารถเดินเล่นในย่านนี้ได้นานเลยค่ะ เพราะมีร้านอาหารเก๋ๆ และห้างสรรพสินค้าที่มีสินค้าโดนใจวัยรุ่นอยู่มากมายให้เลือกได้ทั้งวัน

  • SHIBUYA ► HARAJUKU

เดินมาเรื่อยๆ ไม่ไกล ก็มาถึงศาลเจ้าเมจิ ศาลเจ้าที่เราชอบมาก เพราะร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ดูเงียบสงบ แม้จะมีนักท่องเที่ยวเยอะมากก็ตาม

ออกจากศาลก็แวะชิมราเมนเจ้าดัง Jangara Ramen ในย่านฮาราจูกุ ย่านวัยรุ่นเด็กแนวของญี่ปุ่น รสชาติอร่อยกลมกล่อมใช้ได้เลยค่ะ ที่ร้านมีเมนูภาษาไทยให้ด้วย คอนเฟิร์มว่าคนไทยต้องมาเยอะแน่นอนค่ะ

เดินเล่นย่านฮาราจูกุ

  • HARAJUKU ► AKIHABARA

ต่อด้วยย่าน อากิฮาบาระ เอาใจสาวกการ์ตูนและของเล่น 18+ ทั้งหลาย ใครชอบแนวนี้คงเดินเพลินๆ ได้ทั้งวันใช่มั้ยคะ?

หลังจากกลับจากย่านอากิฮาบาระ เราก็กลับโรงแรมไปเอากระเป๋า เพราะได้จองรถบัสนอนไปเกียวโตไว้ตอน 4 ทุ่ม ขึ้นรถที่ Tokyo Station

ข้อดีของการนั่งบัสนอนไปก็คือ ถูกกว่านั่งชินคันเซน หรือรถไฟมากๆ ค่ะ ข้อเสียคือ ใช้เวลานาน ประมาณ 7 ชั่วโมงถึงเกียวโต และ คนนอนยากจะนอนไม่ค่อยหลับอีกแล้ว โดยเราใช้บริการของ Willer Express สามารถจองรถได้ที่ https://willerexpress.com/en/

จบการรีวิวเที่ยวโตเกียวแล้วค่ะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์และเป็นแรงใจให้ใครหลายคนอยากตามมาเที่ยวโตเกียวด้วยตัวเองกันนะคะ

 

Written by : Nichanary
Photo by : Nichanary
Visit Fanpage : Nichanary – Travel Blogger
Link : https://www.facebook.com/nichanary/