มิวเซียมสยาม ปลุกสำนึกเยาวชน
ด้วย “เรียงความประเทศไทย”
Travel.mthai.com อยากชวนเด็กมารู้จักประเทศไทยให้มากขึ้น เพื่อสร้างจิต สะกิดสำนึก ทราบซึ้งถึงความเป็นมาของชาติ ผ่าน “เรียงความประเทศไทย” ที่ “มิวเซียมสยาม“ พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งเกาะรัตนโกสินทร์
“เรียงความประเทศไทย” หรือ “The Account of Thailand” นิทรรศการถาวรในมิวเซียมสยามเน้นวิธีการเล่าเรื่องด้วยเวลา ตั้งแต่ “สุวรรณภูมิ” สู่ “สยามประเทศ” ถึง “ประเทศไทย” มีทั้งหมด 17 ห้อง แต่เราขอเริ่มที่ห้อง ๑๗ เพื่อทำความรู้จักกับ “มิวเซียมสยาม” สถานการเรียนรู้ขวัญใจคนทุกรุ่น!
ห้องที่ ๑๗ ตึกเก่าเล่าเรื่อง
“มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้“ ที่มาเป็นอย่างไร ยืนอ่านอย่างตั้งใจได้ที่ห้องนี้ เริ่มจากตัว “อาคารนิทรรศการถาวร“ เป็นศิลปะแบบนีโอคลาสสิก สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๖ ซึ่งเดิมนั้นเป็น “อาคารสำนักปลัดกระทรวงพาณิชย์” มองจากภาพก็จะเห็นว่ายังคงใช้ชื่อตึกว่า “กระทรวงพาณิชย์” แค่ภายนอกก็ชวนดึงดูดให้ไปสัมผัสข้างในแล้ว
“Museum Siam” เป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งแรกที่เน้นการสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ในการเข้าชม ถ่ายรูปได้ สัมผัสได้ อยากรู้อะไร แค่จิ้มๆ แตะๆ เปิดรับข้อมูลเข้าสมองด้วยเทคโนโลยีแบบล้ำๆ พาเรา “ย้อนหลัง” ด้วยนวัตกรรมอัน “รุดหน้า” เรียกว่ายกระดับการเรียนรู้ เน้นการปฏิสัมพันธ์ระหว่างนิทรรศการและผู้ชม ดึงกลยุทธ์เอาใจวัยโจ๋ให้เกิดสำนึกรักในแดนสยาม
“คนกบแดง” ตราสัญลักษณ์แนวๆ ของมิวเซียมสยาม ที่ออกแบบเป็นรูปคนทำท่ากบ เพราะกบถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ เป็นที่เคารพบูชาทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เนื้อหาในห้องแสดงนิทรรศการถาวร
“เรียงความประเทศไทย”
ห้องที่ ๑ เบิกโรง
“เบิกโรง” หน้าแรกของเรียงความ เป็นห้องฉายภาพยนตร์สั้น ความยาวประมาณ 5 นาที ดำเนินเรื่องด้วยตัวละครเจ็ดคน โดยแต่ละคนจะมีภาพจำในอดีตสัมพันธ์กับช่วงเวลา ณ ปัจจุบัน นัยสำคัญคือต้องการสื่อให้เราหาคำตอบว่า “เราคือใคร และอะไรคือไทย” แนะนำว่าให้ตั้งใจดูสุดๆ กะพริบตาแม้แต่ฉากเดียวก็พลาด!
ห้องที่ ๒ ไทยแท้
กระตุ้นความอยากรู้ว่า “ไทยแท้” คืออะไร และเป็นอย่างไรจึงเรียกว่า “ไทยแท้” โดยจำลองสถานที่ที่บ่งบอกว่าแบบนี้สิ “พี่ไทย” จะใช่ “นั่งตุ๊กตุ๊ก สนุกกับงานวัด ซัดส้มตำรถเข็น ตกตอนเย็นดูโขนดูหนัง” หรือเปล่านะ!?
ห้องที่ ๓ เปิดตำนานสุวรรณภูมิ
“ก่อนจะเป็นสุวรรณภูมิ” บอกกล่าวเล่าขานกันตั้งแต่บรรพบุรุษ ที่มาของมวลมนุษยชาติ โดยมีใจความสำคัญอยู่ว่า “สุวรรณภูมิ” คือชื่อที่ชาวโลกเมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ ปีก่อน ใช้เรียกดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย
ที่ชวนขนลุกอีกมุม“เรื่องเล่าจากหลุมศพ” เตือนไว้สำหรับคนขวัญอ่อน ตรงบริเวณหน้าตู้โครงกระดูก มีรอยเท้าอยู่คู่หนึ่ง อยากทำความรู้จักเธอก็สัมผัสมันซะหน่อย เดี๋ยวชีจะโผล่มาด้วยเสียงเย็นๆ เล่าความเป็นความตายให้ฟัง!
ห้องที่ ๔ สุวรรณภูมิ
ทำความรู้จักกับ “สุวรรณภูมิ” ดินแดนแห่งความมั่งคั่ง ผ่านผู้คนหลากหลายอาชีพที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ทั้งการเกษตร การค้า การสร้างเมือง เทคโนโลยีแห่งโลหะ และความเชื่อ (ผี-พราหมณ์-พุทธ) ทั้งหมดล้วนเป็นองค์ประกอบแห่ง “รากเหง้าของประเทศไทย”
จอสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้านล่างเป็นดินแดนแห่งสุวรรณภูมิ ส่วนแท่นทั้งสองที่อยู่ตรงข้ามกัน เป็นคำอธิบาย “การประกอบสัมมาอาชีพ” ที่มีส่วนเกื้อกูลกันในสมัยนั้น อยากรู้จักอาชีพไหน ใช้ปลายนิ้วสัมผัสที่ใต้รูป เพียงเท่านั้น จะเกิดภาพเคลื่อนไหว พร้อมคำอธิบาย แบบว่าชัด! ประทับใจ!
ห้องที่ ๕ พุทธิปัญญา
“พุทธิปัญญา” สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับหัวใจของพุทธศาสนา คาถายอดนิยมแห่งสุวรรณภูมิ “เย ธมฺมา” (เย-ทำ-มา)แปลว่า สิ่งทั้งหลายมีเหตุเป็นแดนเกิด ดังเช่น “ฝนตกเพราะกบร้อง กบร้องเพราะท้องปวด” แบบว่าเน้นให้ปลง ใจกว้าง สร้างสันติ
ห้องที่ ๖ กำเนิดสยามประเทศ
สืนสานเรื่องราวของวีรบุรุษสมัยครั้งสถาปนากรุงศรีอยุธยาจากตำนานท้าวอู่ทอง สื่อความหมายถึงการผสมผสานทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม จนเกิดเป็น “จุดเริ่มต้นแห่งแดนสยาม”
เนื่องจาก “ตำนานท้าวอู่ทอง” มีการอ้างอิงกันหลายข้อมูลว่าแท้จริงแล้วคือใคร ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ จึงต้องมีการนำบุคคลทั้งหมดที่ถูกอ้างถึงมาแสดง อยากรู้ที่มาของใครก่อนก็กดได้เลย เรื่องราวจะฉายให้เห็นกันตรงหน้านี้ล่ะ!
ห้องที่ ๗ สยามประเทศ
ห้องนี้แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ทางสภาพภูมิศาสตร์ และความรุ่งเรืองทางการเมือง การค้า สถาปัตยกรรม ของอาณาจักร “กรุงศรีอยุธยา” เรือหลายลำ หลากที่มา บริเวณกลางห้อง แสดงถึงความเจริญเฟื่องฟู จนกลายเป็น “ศูนย์กลางการค้าทางทะเล” ของภูมิภาค
ห้องที่ ๘ สยามยุทธ์
ชื่อก็บอกชัดว่าเป็น “เหตุแห่งสงคราม” ในห้องนี้จะให้ความรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของการสู้รบในสมัย “กรุงศรีอยุธยา” และการแสดงถึงภูมิปัญญาในการวางกลยุทธ์
ใช้นวัตกรรมเรียกความสนใจจากเด็กด้วยเกมส์ “ยิงปืนใหญ่”
ห้องที่ ๙ แผนที่ ความยอกย้อนบนแผ่นกระดาษ
ใจความสำคัญต้องการสื่อว่า แผ่นดินนั้นล้วนถูกจับจองด้วยมนุษย์ แบ่ง “เขา” เพื่อสร้าง “เรา” รวมไปถึง สร้าง “ชาติ” มูลเหตุให้เกิด “การล่าอาณานิคม”
ห้องที่ ๑๐ กรุงเทพฯ ภายใต้ฉากอยุธยา
พูดให้เข้าใจง่าย คือ เมื่อครั้งสิ้นกรุงศรีฯ ผู้คนหลายเชื้อชาติที่เคยอาศัยอยู่บนดินแดนนี้ร่วมกันสืบสานทั้งวัฒนธรรมและแนวคิด สร้าง “กรุงเทพฯ” ให้เหมือน “อยุธยา” เมืองเก่า เท่าที่สามารถจะเป็นไปได้
ห้องที่ ๑๑ ชีวิตนอกกรุงเทพฯ
สื่อให้เห็นถึงวิถีชีิวิตที่เรียบง่าย ของ “คนนอกกรุง” โดยมีการเกษตรเป็นอาชีพหลัก การสร้างสรรค์เครื่องมือทำมาหากิน ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จนเกิดเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น
ห้องที่ ๑๒ แปลงโฉมสยามประเทศ
แสดงถึงจุดเริ่มต้นการนำ“ความศิวิไลซ์” เข้าสู่“แดนสยาม” ด้วยการติดต่อกับโลกตะวันตก รับเอาวัฒนธรรมและเทคโนโลยีจากต่างชาติมาพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญขึ้น ตั้งแต่ถนน รถรา สถาปัตยกรรม จนถึงเครื่องประดับเครื่องแต่งกาย
ห้องที่ ๑๓ กำเนิดประเทศไทย
ห้องนี้เนื้อหาน่าสนใจ ทำไม “สยาม” กลายเป็น“ไทย” กระตุ้นให้หาคำตอบว่า “วันเกิดประเทศไทยคือวันที่เท่าไหร่” และ “กรมโฆษณาการเกี่ยวข้องอย่างไร” อยากรู้ ก็จัดไปนะ ไม่เฉลย! อิอิ
ห้องที่ ๑๔ สีสันตะวันตก
ห้องนี้สะดุดใจวัยแนวแหงมๆ ด้วยบรรยากาศ “ย้อนยุค” ที่กลายเป็นสไตล์ฮิตติดกระแสตลอดกาล อย่าง “สีสันตะวันตก” สื่อให้เห็นว่าความเจ็บปวดจากสงครามโลกครั้งที่สองได้หายไปหมดสิ้น เมื่อไทยอ้าแขนรับวัฒนธรรมอเมริกัน ก็มีผลให้เศรษฐกิจบ้านเราโกยเงิน“ดอลลาร์” กันเป็นล่ำเป็นสัน เบิกบานใจทั้งบ้านทั้งเมือง!
ห้องที่ ๑๕ เมืองไทยวันนี้
โครงสร้างที่เห็นเปรียบเสมือน “ดีเอ็นเอ” การฝังรากลึกของวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น มีสิ่งใดบ้างที่ยังอยู่กับเรา และสิ่งใดบ้างที่หล่นหายไปอย่างน่าเสียดาย โดยมุ่งเน้นให้ทุกคนเรียนรู้และเข้าใจถึง “ความเป็นไทยที่แท้จริง” “ความเป็นไทยที่อยู่บนพื้นฐานของความหลากหลาย” “ความเป็นไทยที่รู้จักเลือกรับและปรับใช้” นั่นคือ การผสมผสานสิ่งดีงามจนกลายเป็น “เอกลักษณ์”
ห้องที่ ๑๖ มองไปข้างหน้า
“มองไปข้างหน้า” เมืองไทยจะเป็นเช่นไร คำตอบอยู่ไม่ไกล เพราะคำตอบอยู่ที่ “เรา”
————————————————————–
สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ มิวเซียมสยาม
เลขที่ ๔ ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง
เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐
เปิดให้บริการ อังคาร-อาทิตย์ ๑๐.๐๐-๑๘.๐๐ น.
www.ndmi.or.th
www.museumsiam.com
————————————————————–
มิวเซียมสยาม ปลุกสำนึกเยาวชน ด้วย “เรียงความประเทศไทย”