“กองบิน 53” อาจจะต่างไปจากเขตทหารที่อื่น คือ ที่นี่ไม่ใช่สนามฝึกซ้อมรบ แต่ที่นี่คือสมรภูมิที่เคยผ่านการรบจริงๆ มาแล้ว และพร้อมจะย้อนประวัติศาสตร์การรบที่สำคัญให้คนไทยรุ่นหลัง ได้ร่วมสัมผัสและรับรู้ถึงวีรกรรมของผู้กล้า ที่ยอมสละชีวิตเพื่อต่อต้านทหารญี่ปุ่นที่ได้ยกพลขึ้นบกเพื่อใช้ประเทศไทย เป็นทางผ่านไปยังประเทศพม่า เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2
ชมวิว อ่าวมะนาว ณ สมรภูมิกองบิน 53
เมื่อไปถึงอุทยานประวัติศาสตร์ กองบิน 53 “น.ต. ศิริพงษ์ หล่อสุวรรณ” ซึ่งเป็นนายทหารประชาสัมพันธ์ พาไปชม “หน้าต่างมหัศจรรย์” ซึ่งเป็นห้องมืดเล็กๆ หน้าต่างมหัศจรรย์ที่ว่ามหัศจรรย์สมชื่อจริงๆ เพราะเป็นการแสดงด้วยระบบแสง สี เสียง ขนาดเล็ก แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวเหตุการณ์ที่เร้าใจ ทำให้รู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ซึ่งเป็นวันที่กองกำลังทหารญี่ปุ่นได้เคลื่อนกำลังเข้าสู่ประเทศไทย และยกพล ขึ้นบกตามจุดต่างๆ ทางภาคใต้ คือ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และปัตตานี
แน่นอนว่าเมื่อมีผู้รุกรานประเทศ คนไทยก็ต้องร่วมใจกันปกป้องบ้านเมืองไม่ให้ใครรุกราน ซึ่งที่ กองบิน 53 หรือชื่อในอดีตคือ กองบินน้อยที่ 5 ก็เป็นจุดหนึ่งที่ทหารญี่ปุ่นได้มาแอบซุ่มยกพลขึ้นบกและเข้ายึดพื้นที่ ทำให้เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง โดยที่กำลังพลของกองบินน้อยที่ 5 มีประมาณ 120 คน ส่วนกำลังพลทหารญี่ปุ่นมีประมาณ 3,000 คน
ถึงแม้ทหารไทยจะต่อสู้ด้วยความเด็ดเดี่ยว และกล้าหาญถึงขั้นใช้อาวุธต่อสู้ประชิดตัว เป็นเวลาข้ามวันข้ามคืน แต่ที่สุดน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เพราะเป็นรองฝ่ายญี่ปุ่นในทุกๆ ด้าน
ผู้บังคับการกองบินน้อยที่ 5 จึงสั่งให้เผากองรักษาการณ์ และคลังน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อไม่ให้เป็นประโยชน์แก่ข้าศึก แล้วสั่งให้รวบรวมกำลังพลและครอบครัว ไปรวมกันที่บริเวณเชิงเขาล้อมหมวก แต่ทุกคนก็ยังต่อสู้อย่างเข้มแข็ง นั่นคือเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว แต่ในปัจจุบันกองบิน 53 ได้ปรับเปลี่ยนค่ายทหารให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ไม่เฉพาะแต่เหล่าทหารจะใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ยังเปิดให้ประชาชนได้เข้ามาเที่ยวได้อีกด้วย
อ่าวมะนาว แหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนตากอากาศที่อยู่ภายในกองบิน 53
ตลอดเวลาการแสดงจำลองเหตุการณ์ผ่านหน้าต่างมหัศจรรย์นั้น บอกตรงๆ ว่า เกิดอาการขนลุกซู่ เลือดรักชาติแล่นซ่านไปทั่วตัว ยิ่งเมื่อออกมาด้านนอก มองไปเห็น “อนุสาวรีย์วีรชน 8 ธันวาคม 2484” ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานและบรรจุอัฐิของวีรชนผู้เสียสละ ก็ยิ่งตื้นตันใจในวีรกรรมอันยิ่งใหญ่
หากใครที่มาเที่ยวที่นี่ จะได้เห็นสถานที่จริงของอดีตสมรภูมิรบที่เกิดการสู้รบทั้งอ่าวที่ยกพล หลุมฝังศพทหารไทย บริเวณเผาศพทหารญี่ปุ่น แนวรบ แนวยุติการรบ หลุมปืนกลหนัก ภูเขาล้อมหมวกจุดที่มั่นฝ่ายไทย รวมทั้งแท่นหินทรายสีเขียว หนักประมาณ 60 ตัน ซึ่งแกะสลักภาพจำลองเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การต่อต้านการยกพลขึ้นบกของ ญี่ปุ่นของทหารอากาศไทย
นอกจากจะเป็นสถานที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การสู้รบแล้ว “กองบิน 53” ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ที่มีนักท่องเที่ยวได้เข้ามาพักผ่อนหย่อนใจเป็นจำนวนมาก เพราะมีทั้งอ่าวประจวบฯและอ่าวมะนาว อยู่ในเขตพื้นที่ โดยมี เขาล้อมหมวก กั้นให้แยกจากกัน ซึ่งที่อ่าวประจวบฯ นั้นมี “เกาะหลัก” ที่น.ต. ศิริพงษ์ บอกว่าในช่วงสายๆ บ่ายๆ ที่น้ำลงจะมีปรากฏการณ์ทะเลแหวก ให้สามารถเดินข้ามไปเที่ยวได้แบบสบายๆ นอกจากนี้ที่เกาะหลักยังมีหมุดวัดระดับน้ำทะเลแห่งแรกในประเทศไทย สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2453 ซึ่งปัจจุบันหมุดตัวนี้ก็ยังอยู่ อยากเห็นก็ต้องข้ามไปดู ส่วน “เกาะไหหลำ” ที่อยู่ใกล้ๆ กันนั้นก็มีศาลเสด็จเตี่ย “กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์” ประดิษฐานเป็นที่เคารพบูชาของคนที่ผ่านไปมา และที่ “เกาะแรด” ก็มีประภาคารตั้งอยู่บนยอดเกาะ
ข้ามมาที่ “อ่าวมะนาว” ซึ่งก็ตั้งอยู่ในบริเวณกองบิน 53 เช่นเดียวกัน ที่นี่นอกจากจะมีหาดทรายขาวสะอาด น้ำทะเลใส บรรยากาศเงียบสงบ ปลอดภัย เหมาะในการเล่นน้ำและพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง
แล้วตรงบริเวณหุบเขาคลองวาฬ ยังมีถ้ำให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปเที่ยวชม คือ “ถ้ำเทพเนรมิต” และ “ถ้ำน้อยหน่า” ที่ภายในมีหินงอกหินย้อยสวยงาม ซึ่งไม่ควรพลาดชม เพราะจะทำให้การท่องเที่ยวในเขตทหารกองบิน 53 เต็มอิ่มครบรสยิ่งขึ้น
บทความน่าอ่านจาก http://www.emaginfo.com ร่วมกับ travel.mthai.com