ดอกซากุระ สถานที่ชมซากุระ เที่ยวญี่ปุ่น เที่ยวเกียวโต เที่ยวโตเกียว

[รีวิว] เที่ยวญี่ปุ่น ลุยเดี่ยว ชมซากุระที่โตเกียว และเกียวโต

Home / ท่องเที่ยวรอบโลก / [รีวิว] เที่ยวญี่ปุ่น ลุยเดี่ยว ชมซากุระที่โตเกียว และเกียวโต

หลายคนไป เที่ยวญี่ปุ่น ด้วยวัตถุประสงค์ต่างๆ กัน บางคนไปเพื่อสนุกสนานกับเทศกาลหิมะ บ้างก็ไปเพื่อตะลุยย่านช้อปปิ้งดังๆ อย่าง ชิบูย่า และบางคนก็ไปเพื่อจะมีโอกาสได้เห็นความสวยงามของดอกไม้สีชมพูที่มีชื่อว่า ซากุระ สักครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับเพจ Walking Moment ที่ได้ไปเก็บภาพประทับใจกับเจ้าซากุระ ทั้งที่เมืองโตเกียว และเกียวโต เมื่อวันที่  1 – 6 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา (รวม 6 วัน 5 คืน) ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่ซากุระกำลังบานสวยงามมาก จะเป็นยังไง ติดตามรีวิวกันได้เลยค่ะ

รีวิว ตะลุยเดี่ยว ชมซากุระ ที่ โตเกียว และ เกียวโต

แน่นอนว่าการมาเที่ยวญี่ปุ่น จะมาแค่ครั้งสองครั้งเป็นไปได้ยาก เพราะนี่คือประเทศนึงที่ใครๆ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ประเทศที่มาครั้งเดียวไม่เคยพอ สำหรับการมาเยือนญี่ปุ่นในรอบนี้ นับเป็นครั้งที่ 6 ในรอบ 2 ปี กว่าๆ ของผม

ถามว่าทำไมผมถึงมาเที่ยวญี่ปุ่นบ่อยจัง? ในฐานะที่ผมเป็นคนนึงที่ชื่นชอบใน ประเทศญี่ปุ่น มากกกถึงมากที่สุด ต้องบอกเลยว่า คนญี่ปุ่นเค้ามีความสามารถในเรื่องของการที่จะดึงเอา “ความพิเศษ” ออกมาจากทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัว สังเกตว่า ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศนึงที่ไปเที่ยวได้ทุกช่วงฤดู นั่นเป็นเพราะว่า แต่ละช่วงฤดู ก็มี ความพิเศษ ที่แตกต่างกัน

แต่ละการเดินทางท่องเที่ยวในญี่ปุ่น เราจะได้ความรู้สึกใหม่ๆ น่าตื่นเต้น น่าค้นหาอยู่ตลอด และด้วยเหตุผลนี้ จึงทำให้หลายๆ คนชื่นชอบในการไปเที่ยวญี่ปุ่น รวมไปถึงตัวผมเองด้วย ^^

ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลยยยยย !!!!!

Day 1 Tokyo :
Sumida – Ueno Park – Meguro River

มาเริ่มกันเลยกับวันแรกที่ออกตามหาซากุระ ซึ่งวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ผมต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้เลยว่าคนทะลักแน่ๆ เนื่องจากว่า วันอาทิตย์คือวันเที่ยวของคนญี่ปุ่น เช้านี้มีแผนไปเช็ค ซากุระ ที่ Sumida กันครับ เนื่องจากตั้งอยู่ติดกับน้ำ และใกล้กับวัด Asakusa เลยจะมาที่นี่ได้ไม่ยากครับ

สำหรับผมก็นั่ง JR Yamanote ไปลงที่ Ueno แล้วนั่ง Subway สาย Ginza ไปลงที่สถานี Asakusa ขึ้นมาก็เจอเลยครับ

ที่นี่เค้ามีให้นั่งล่องเรือชมด้วยนะครับ แต่ว่าดูแถวแล้ว ขอบายดีกว่า 555+ เดินหาทางเข้าครับ จะมีป้ายเหมือนจัดงานไรสักอย่างครับ เดินเข้าไปเลย ก็จะเป็นทางเรียบริมน้ำ โดยจะมีต้นซากุระตั้งอยู่ด้านนึงไปตลอดทางเลยครับ แต่ในวันที่ผมไป ซากุระ ก็พึ่งจะเริ่มบานครับเลยยังไม่สวยอะไรมาก แต่คนก็ยังถือว่าเยอะมากเลยครับ

จริงๆ ผมลองยืนจินตนาการดูว่าถ้าซากุระบานทั้งต้น ทั้งหมดนี้จะสวยแค่ไหน สุดๆ เลย รวมไปถึงอากาศที่ก็มีลมเย็นๆ พัดมาอยู่เสมอๆ ทำให้รู้สึกสบายมาก … เดินวนอยู่สักพักเนื่องจากว่าไม่ค่อยมีอะไรถ่าย เลยไปเจอมุมนี้เข้า คือมุมที่จะเห็น Tokyo Sky Tree กับ ซากุระไปพร้อมๆ กัน เลยจัดสักหน่อย

อยู่สักพัก แล้วก็ไปกันต่อที่ Ueno Park ซึ่งเราก็นั่งกลับไปที่สถานีเดิมคือ Ueno แล้วเราก็ถึงเลย ถึงคนจะเยอะมาก แต่คนญี่ปุ่นก็มีความเป็นระเบียบกันมาก เห็นได้จากการขึ้นบันไดนี้

ช่วงที่นั่งพักอยู่ ตาก็เหลือบไปเห็นพี่คนนี้ มีท่าทางแปลก ผมเลยแอบเนียนเข้าไปแอบดูใกล้ๆ ว่าเค้าทำอะไรกันแน่ เลยได้มารู้ว่าเค้ากำลังนับคนที่เดินเข้ามาชมในงานอยู่ โดยการกดไอ้ตัวนั้นนับไป ตอนแรกท่าทางเหมือนผู้ก่อการร้ายเลย 555+ (ขอโทษนะครับพี่ ToT)

สำหรับที่ Ueno Park แล้วนั้น เป็น สถานที่หลักในการชม ซากุระอยู่แล้วเนื่องจากว่า มีต้นซากุระเยอะมากๆ แล้วก็เหมาะแก่การจัด Hanami หรือ การได้สังสรรค์กับเพื่อน หรือ ครอบครัว ใต้ร่มของซากุระนั่นเอง แล้วบรรยากาศของที่นี่ก็คึกคักมากๆ แล้วคนก็เยอะเอามากๆ จนผมแทบหายใจไม่ออกเลย 555+ สำหรับซากุระในวันนี้ยังถือว่ายังบานไม่หมด แต่ก็ประมาณ 70-80% ได้แล้ว

สำหรับงานสังสรรค์อย่างงี้ก็ต้องมีของกินขายแน่นอน ส่วนมากที่นี่จะมีพวกอาหารที่กินง่ายมาขายกัน อย่างเช่น Yakisoba เนื้อยางเสียบไม้ softcream มีกระทั่งเบียร์สดขายกันเลยทีเดียว แหม่สุดยอดจริงๆ และไฮไลท์ก็คือ Champagne รสซากุระพิเศษ สีชมพู น่ากินมากๆ แต่ผมไม่ได้ทานสักอย่างเลย เนื่องจากว่าคิวแต่ละร้านยาวกันมากๆ เลยได้แต่ชมแล้วก็กลืนน้ำลายกันไปก่อน 555+

หลังจากเดินถ่ายที่ Ueno Park เสร็จแล้ว ต้องบอกว่าเหนื่อยมากจริงๆ อาการชักไม่ดี เลยกลับไปพักที่โรงแรม ก่อนที่จะออกมาที่ Meguro River ในตอนเย็นกัน

สำหรับที่ Meguro River คนก็เยอะมาก เห็นตั้งแต่ระหว่างทางที่ไปคนก็เดินไปในทางเดียวกันเยอะมาก ยังกับเป็นพวกเดียวกันเดินไปด้วยกันเป็นฝูง ที่นี่ยังบานไม่เต็มที่สักเท่าไหร่เลยไม่ค่อยได้รูปมามากนัก

Day 2 Tokyo/Kyoto 
Shinkansen – Katsukara – Keage Incline

ในเช้าวันต่อมาผมเลยรีบนั่ง shinkansen ไปลงที่ เกียวโต กันครับ ซึ่งการจอง shinkansen ผมสามารถใช้ JR Pass จองที่นั่งได้ฟรีครับ ต้องไปจองกับคนนะครับ จองกับเครื่องไม่ได้

ผมก็นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Tokyo ก่อนแล้วค่อยต่อไป shinkansen ที่สถานีนี้ครับ

เข้ามาในสถานีก็ตามป้าย shinkansen ไปเลยครับ พอมาสุดทางจะแยกออกเป็นสองทางเข้า ทางเข้านึงจะไปทางด้านบนขวาของโตเกียว อีกทางนึงจะวิ่งไปทางด้าน ซ้ายของโตเกียวครับ(ซึ่งเป็นทางที่เราจะไปกันครับ) ให้ดูที่เค้าเขียนว่า Tokaido shinkansen นะครับ เสร็จแล้วก็เดินไปตามชานชลาของเราเลย

รอรถไฟกันสักหน่อย แล้วก็กระโดดขึ้น Shinkansen ไปกันเลยยย

ผมจองที่นั่งเป็นแถวหลังสุดครับ เนื่องจากว่า ผมเดินทางด้วยกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ เลยจะหาที่เก็บยากบน shinkansen แต่จะมีที่ว่าง ที่เราสามารถนำกระเป๋าเราไปเก็บไว้ได้ก็คือ พื้นที่หลังเบาะแถวสุดท้ายนั่นเอง

การที่เรานั่งแถวสุดท้าย นอกจากจะมีที่วางกระเป๋าเราแล้ว ข้อดีอีกข้อนึงคือ เวลาเราเอนเบาะจะไม่ไปรบกวนคนอื่นอีกด้วยครับ สบายใจได้เลยทีนี้

ด้วยความที่ว่าขอเป็นแถวหลังสุด แล้วมันเหลือที่เดียว เลยได้ที่นั่งตรงกลาง ด้าน 3 ที่นั่ง แต่ก็ไม่ได้อึดอัดอะไรครับ

สำหรับ Tokaido Shinkansen นี้ที่นั่งส่วนใหญ่จะแบ่งเป็น 3-2 นะครับ ในชั้นปกติ ที่นั่งก็สบายมากๆ ครับ ยิ่งถ้าไม่มีคนนั่งข้างๆ ยิ่งสบายเลย นอนกันไปสบายๆ 2 ชม. กว่าๆ เองก็ถึงเกียวโตแล้ว

ซึ่งยังไม่สามารถ check-in เข้าที่พักได้ เลยนำกระเป๋าไปฝากไว้ก่อน แล้วก็ได้เวลาออกไปตะลุยกินของอร่อยๆ ในเมืองนี้กันแล้ววว

ตอนอยู่โตเกียว บอกเลยว่าไม่ได้กินไรดีๆ บ้างเลย พอมาเกียวโตเลยขอจัดอะไรน่ากินๆ บ้าง ผมเลยเดินตรงไปที่ “ร้าน Katsukara” ซึ่งเค้าบอกว่าร้าน Katsukara นี้อร่อยเป็นอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว ร้านนี้เค้าขาย Tonkatsu หรือ หมูทอด กันครับ

การเดินทางมาที่นี่ก็ไม่ยากครับ แค่นั่ง รถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Shijo แล้วเดินมาอีกแปปเดียวก็ถึงแล้ว

ผมมาถึงเกียวโตในเวลา ประมาณ เที่ยงกว่าๆ ครับ ผมได้สั่งเมนูที่ อร่อยที่สุดในร้าน (ถามเค้าเค้าบอกอย่างนั้นนะ) ในร้านที่อร่อยสุดในญี่ปุ่น ฟินนนนสิครับ

ขณะที่นั่งรอคิว ในหัวก็คิดอยู่ว่า แค่ Tonkatsu มันจะอร่อยกว่ากันได้แค่ไหนกันเชียว แต่เมื่อได้ลองตั้งแต่คำแรกที่เข้าปากไปก็ “อ่อ ที่เค้าบอกว่า Tonkatsu ที่อร่อย มันอร่อยแบบนี้เองสินะ”

บรรยากาศภายในร้านตั้งแต่ เดินเข้าไปยันออกมา ได้ความเป็นญี่ปุ่นมากๆ พนักงานพูดจาดี ยิ้มแย้มเอาสุดๆ แนะนำเลยครับถ้าใครอยากจะทาน Tonkatsu อร่อยๆ ได้ยินว่ามีสาขาที่ โตเกียว ด้วยนะครับ

กินกันอิ่มท้องแล้ว ก็กลับไป check-in ที่โรงแรม คืนนี้พักกันที่ โรงแรม Hotel New Hankyu Kyoto ก็เป็นห้องแบบ Single Bedroom Non-Smoking ครับ เหตุผลที่เลือกที่นี่เพราะว่าติดกับ สถานที่ Kyoto เลยครับ สะดวกสบายมากๆ

พอบ่ายๆ เย็นๆ ผมเลยออกไปแวะเช็คซากุระที่ Keage Incline กันสักหน่อย เพราะเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผมตั้งใจจะไปถ่าย ปรากฏว่า ซากุระ ยังไม่บานกันเลยย ครับ เรียกว่าเจ๊งกันไปเลยทีเดียว แต่ด้วยความสวยงามของสถานที่ ผมเลยอยู่เก็บภาพกันสักหน่อย

ที่นี่เป็นเหมือนรางรถไฟเก่าที่เราสามารถเดินเล่นได้ ซึ่งสองข้างทางจะมี ต้นซากุระตั้งอยู่ มีความโรแมนติกเอามากๆ

Day 3 Kyoto :
Arashiyama – Sagano Bamboo Forest – Gogyo Ramen – Nakamura Matcha

วันนี้ผมตื่นไม่เช้ามากครับ ด้วยความที่ว่าไม่ต้องรีบไปถ่ายซากุระอะไร เพราะมันยังไม่บาน เลยคิดว่าจะใช้ ชีวิตแบบว่า slow life กันหน่อยๆ ในเมืองนี้ พอจัดการธุระอะไรของตัวเองเสร็จ ก็แบกประเป๋า แล้วออกเดินทางไปที่ “Arashiyama”

จริงๆ ถ้าพูดถึงการมาเที่ยวเกียวโต ในช่วงปกติๆแล้ว Arashiyama ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่ามาที่นึงเลย แต่ที่นี่ก็มี ซากุระให้เราดูกันด้วยน๊าา จะอยู่ในสวนที่เราต้องข้ามไปอีกด้านของสะพานครับ

นอกจากสถานที่ที่สวยงามกันแล้ว ที่นี่ก็มีชื่อเสียงเรื่องของหวานๆ กันด้วย อร่อยมากๆ และเราจะเห็นแต่ละร้าน มีคิวที่ยาวมากๆ จนผมก็คิดว่า รอไปได้ยังไง 555+ ที่พลาดไม่ได้เลยก็ต้องเป็น soft serve ชาเขียวนี่แหละ

อีกอย่างที่อร่อยตามกันมาก็คือ Mochi ที่มีใส้เป็นสตอเบอร์รี่ลูกใหญ่ ซึ่ง Mochi เป็น รสนมข้น อร่อยอะ

ผมก็เดินลงไปตามถนนที่ทอดยาวไปจนถึง สะพาน Togetsukyo ซึ่งเป็นสพานเก่าแก่ และเป็น Iconic สำหรับ Arashiyama อีกแห่งนึงเลยครับ พอข้ามไปอีกฝั่งนึงก็ถึงสวนของเรากันแล้ว

ในที่สุดก็มาถึงจุดชมซากุระประจำที่ Arashiyama แห่งนี้แล้ว ซึ่งความวิเศษของที่นี่ก็คือ การได้นั่งใต้ร่มของซากุระ มองออกไปยังแม่น้ำที่ไหลผ่านสะพาน Togetsukyo สังเกตุว่าส่วนใหญ่จะเป็นคู่รักที่มานั่งด้วยกันตรงนี้ครับ

และที่ผมตื่นเต้นกว่านั้นคือการได้ลอง Soft serve รสซากุระ เป็นครั้งแรก Soft serve สีชมพูๆ หอมไปด้วยกลิ่นของ เชอร์รี่ อร่อยอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ ต้องมาชิมเอาเองนะครับ ^^

สวนแห่งนี้ มีความร่มรื่น เหมาะแก่การมานั่งชมธรรมชาติจริงๆ ครับ นั่งพักกันพอแล้ว ก็เดินกลับขึ้นไปบนถนนด้านบน เพื่อไปชม “Sagano Bamboo Forest” หรือ ป่าไผ่อันเลื่องชื่อนั่นเอง นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมได้มาที่นี่ ไม่ว่าจะมาสักกี่ครั้งๆ จะมีอยู่สองอย่างที่เหมือนเดิม นั่นก็คือ สถานที่นี้ยังสวยมาก และ คนเยอะมาก เหมือนเดิมครับ 5555+

พอเก็บภาพกันได้พอสมควรแล้วก็กลับไปพักผ่อนที่โรงแรมครับ เนื่องจากว่าเดินเยอะมากช่วงเช้า พอเริ่มตกเย็นหน่อย ก็ถึงเวลาของอาหารเย็นกันแล้ว เย็นนี้ผมพาไปกินกันที่ “ร้าน Gogyo”

ที่นี่เป็นร้านราเมงครับ แต่ถ้าผมจะพามาทานราเมงธรรมดาๆ ก็ไม่ไช่ผมสิ เพราะครั้งนี้ผมจะพามาทาน ราเมงน้ำดำกัน หรือมีชื่อเรียกกันว่า Special Burnt Ramen ซึ่งผมมาถึงในเวลาที่ร้านเค้าเปิดพอดีเลย แต่เข้าไปก็ต้องตกใจเพราะว่ามีลูกค้าเกือบเต็มร้านกันแล้วววว ภายในร้านตกแต่งสไตล์ modern แต่ยังให้ความเป็นเกียวโตอยู่ ร้านสวยเลยแหละครับ น่านั่งมาก

พนักงานก็น่ารักมาก ยิ้มแย้มสุดๆ ให้ความเป็นกันเอง สมกับเป็นคน kansai เลย หลังจากนั้นผมก็ได้สั่ง เมนู Special Burnt Shio Ramen ไปครับ นั่งรอสักครู่ พนักงานก็นำ ราเมงชามใหญ่ๆมาเสิร์ฟ

หน้าตาน่าทานมาก สิ่งที่เด่นออกมาก็คือ น้ำซุปที่มีสีค่อนข้างดำ และหมูชาชูชิ้นโตๆ น้ำซุปมีความเข้มข้น หอมอร่อยดีครับ มีความแปลกใหม่ในรสชาติ ผมแนะนำให้มาลองกันดูนะครับ

พอเดินออกมาจากร้าน ก็เห็นคิวหนาแน่นเลยครับ รู้สึกโชคดีที่มาเร็ว 555+

ผมเลยเดินเล่นต่อแถวๆ นั้นครับ ได้ยินมาว่า มีปลาหมึก อร่อยๆ ขายอยู่ที่ตลาด Nishiki ซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก ก็ต้องเดินไปสิครับรอไรรร

เจอแล้ววว ปลาหมึกตัวใหญ่ อร่อยๆ ตรงหัวเหมือนเค้ายัดไข่นกกระทาเข้าไปด้วยครับ กินเสร็จก็เริ่มเย็นแล้วครับ เลยคิดว่าจะกลับไปพักที่โรงแรม แต่แล้วก็ต้องมาหยุดแวะกินของหวานอีกสักรอบ เป็นร้านของหวานชาเขียวครับชื่อร้านว่า “Nakamura ”

ซึ่งเป็นร้าน ของหวานชาเขียวที่ดังมากร้านนึงใน เกียวโต เลยคิดว่าต้องแวะสักหน่อย ร้านตั้งอยู่ที่สถานีเกียวโตเลย สะดวกมากๆ นั่งรอประมาณ ครึ่งชม. ก็ได้เข้าไปในร้านแล้วว … ผมได้สั่ง เมนูชื่อ ” Maruto Parfrait ” ไป

มันคือ Parfrait ชาเขียวนี่เอง ที่จะมี topping ต่างๆ อยู่ข้างในทั้ง ข้าวพอง โมจิ ถั่วแดง ครีม ไอติม และ raspberry กินแล้ว อร่อยมากกก ทุกอย่างดูเข้ากันมาก ฟินกันไปปปเลยยย !!!

Day 4 Kyoto/Tokyo ซากุระสวยที่สุดในทริป !!!!! 
Philosopher’s Walk (บานไม่เต็มที่) – Keage Incline (บานไม่เต็มที่) – Ueno Park (บานเต็มที่) – Meguro River (บานเต็มที่) – Chidorigafuchi (บานเต็มที่)

เช้านี้คือความหวังของผมเลยก็ว่าได้ เพราะมีโอกาสที่ซากุระจะบานเยอะขึ้นมากๆ เนื่องมาจากว่า เมื่อวานอากาศเริ่มอุ่นขึ้น ทำให้ซากุระบานเร็วขึ้น เพราะฉะนั้น วันนี้ผมจะต้องเร่งฝีมือมากที่สุดครับกับการ ไล่ถ่ายซากุระ ทั้งหมด 5 สถานที่ด้วยกัน

เริ่มแรกกันที่ ” Philosopher’s Walk ” เป็นสถานที่ชมซากุระ ลำดับต้นๆ ของเกียวโตเลยครับ ที่นี่มีความโรแมนติกมาก และเมื่อผมได้ไปสัมผัส จึงได้เข้าใจถึงความสวยงามของสถานที่แห่งนี้

เป็นเส้นทางเดินเล็กๆ ริมคลองที่ทอดยาวไป ให้ความรู้สึกสงบ แต่ก็สวมงามอย่างไม่น่าเชื่อ ทางเดินนี้จะได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะในช่วง ซากุระ และ ใบไม้แดง ถ้าจะมาเกียวโตในสองช่วงนี้ ผมแนะนำมาชมที่นี่เลยครับ สุดยอดมากๆ

เนื่องจากเวลาที่ค่อนข้างจำกัด ในเวลาประมาณ 7.30 ก็ได้เวลาย้ายไปอีกที่นึงแล้ว ในที่สุดผมก็ได้กลับมาที่ “Keage Incline”

ซึ่งต้องบอกว่าแตกต่างจากวันแรกที่มากกก ใครจะไปเชื่อว่าแค่วันครึ่ง จะทำให้ซากุระบานได้เร็วขนาดนี้ นี้สินะ ที่ทำให้คนทะลักเข้าญี่ปุ่นอย่างหยุดไม่อยู่ ความสวยงามอยู่กับเราได้ไม่นานจริงๆ แต่ทว่า ความสวยงามนี้ก็จะถือว่าคุ้มมากๆ ที่ได้มาชม มาสัมผัสมันสักครั้งนึง

ก็เสร็จไปแล้วกับ 2 สถานที่ชมซากุระที่ เกียวโต แต่ถึงซากุระจะบานในวันนี้แล้ว ก็ยังคงต้องใช้เวลาอีกสัก 1-2 วัน ถึงจะบานกันสวยเต็มที่ ซึ่งถ้าได้ลองจินตนาการดู มันคงจะเป็นภาพที่สวยงามเอามากๆ และหากเป็นไปได้ ปีหน้าผมก็อยากที่จะมาชมซากุระอีกในช่วงเวลาที่ บานเต็มที่แล้ว

เวลาของผมในเกียวโต ก็มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว ก่อนที่ผมจะลากกระเป๋าขึ้น Shinkansen กลับไปที่โตเกียว ก็ได้แวะ ซื้อ Bento ขึ้นไปนั่งทานกันบนรถไฟด้วย จริงๆ ตอนแรก ไม่ได้คิดว่ารสชาติจะอร่อยอะไรเลย แต่พอได้เปิดมานั่งทานบน shinkansen ระหว่างทางกลับไปโตเกียว รสชาติอร่อยมากกกก รู้งี้ซื้อกินนานแล้ววว 555+

ผ่านไป 2 ชม.กว่าๆ ก็กลับมาถึงที่โตเกียวแล้วครับ อย่างที่บอกไปว่า วันนี้มีถ่าย 5 ที่ เสร็จไปแล้ว 2 เหลืออีก 3 รู้งี้แล้วก็ต้องเร่งฝีเท้ากันหน่อย พอเช็คอินที่โรงแรมเสร็จ ก็พุ่งตรงไปสถานที่ที่ 3 กันเลยนั่นคือ ” Ueno Park ”

แน่นอนครับว่า พื้นที่รอบๆสวยงามเต็มไปด้วยซากุระก็จริง แต่ผมก็ต้องเดินต่อไป และสถานที่ต่อไปนี้ เป็นสถานที่ชมซากุระ ที่ผมชื่นชอบมากที่สุด และจะเป็นที่ไหนไม่ได้เลยนอกจาก ” Meguro River ”

ด้วยบรรยากาศ ภายในงาน ที่มีความคึกคัก มีของกินขายตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็น ไก่คาราเกะ yakisoba เนื้อย่างเสียบไม้ ไส้กรอก และอีกต่างๆ นาๆ

ยังมีเครื่องดื่ม สีชมพูๆ รสซากุระ สำหรับ การฉลองเทศกาลซากุระแบบนี้อีกด้วย มาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องขอดื่มฉลอง แด่ความสวยงาม ของเทศกาลชมซากุระ ที่ญี่ปุ่นครั้งนี้ด้วย Kampai !!!!!

พระอาทิตย์ละขอบฟ้าไปแล้ว ผมก็ต้องเดินทางไป สถานที่ชมซากุระ สุดท้ายของทริปนี้กันแล้ว นั่งรถไฟกันไปอีกไม่ไกลมาก เราก็มาถึง “Chidorigafuchi National Park”

พอขึ้นมาจากสถานี เท่านั้นแหละครับ คนเยอะมากกกกกก ไม่รุ้มาจากไหนกัน โอ้โห้ สุดยอดแห่งความคนเยอะเลยครับ … ระหว่างทางเดินเข้าไปตรงจุดที่ผมจะถ่ายรูป ตลอดทั้งทางมีคนหนาแน่นมาก เนื่องจากมีต้นซากุระที่โน้มลงมาใกล้กับเรามาก จนเหมือนเราเดินอยู่ในอุโมงค์ ที่เต็มไปด้วยซากุระ เป็น บรรยากาศการชมซากุระในช่วงสุดท้ายของทริปที่วิเศษสุดๆ ไปเลยครับ

หลังจากนั้น ก็ได้เดินกลับมาที่โรงแรม ก็ได้เจอซากุระที่บานอยู่ในเมืองมากมาย ในคืนสุดท้ายนี้ บอกได้คำเดียวครับ สวยงามมากๆ

ซากุระ ดอกไม้ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของญี่ปุ่น มีช่วงระยะเวลาบาน และ ร่วงโรย ที่ค่อนข้างสั้น แต่ถึงรู้อย่างนั้น ผู้คนก็ยังหลั่งไหลเข้ามาในประเทศญี่ปุ่น เพื่อหวังว่าจะมีโอกาสได้ชื่นชมความสวยงามเหล่านี้ เพราะความสวยงาม และ บรรยากาศวิเศษๆ นั้นทำให้ญี่ปุ่นเป็นญี่ปุ่นที่เราหลงรัก ทำให้รู้ว่านี่แหละคือ “Japan Cherry Blossom “

 

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก :  Walking Moment


พยากรณ์ซากุระบาน ประเทศญี่ปุ่น 2019

รวมพิกัด จุดชมซากุระบาน ที่ญี่ปุ่น ไปแล้วต้องแวะ แชะภาพสวยๆ

ที่มาและความหมายของชื่อ “ดอกซากุระ”